เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

True story : ชีวิตจริงของ ‘ซินเดอเรลล่า’ เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย

ฉันเดินหางานทั้งวันแต่ไม่มีที่ไหนรับเลย พอพลบค่ำก็กลับมาพักที่ป้ายรถเมล์เดิมอีกครั้ง ฉันนอนหลับที่ป้ายรถเมล์แห่งนี้อยู่ 3 คืน จนกระทั่ง “ตุ๊ก” ซึ่งเป็นเพื่อนของหลานผ่านมาเห็น เธอจำฉันได้เธอตกใจและเป็นห่วงฉันมาก จึงเสนอให้ไปช่วยขายผลไม้ที่ร้านของเธอ โดยให้ค่าจ้างวันละ 100 บาท ฉันดีใจมากและตอบตกลงทันที

ฉันขายผลไม้หมดอย่างรวดเร็วทุกวัน เหตุผลหนึ่งเพราะลูกค้าชอบที่ฉันคุยสนุก ไม่นานก็เริ่มมีเงินเก็บ จึงขอเช่าส่วนหนึ่งของร้านเพื่อขายข้าวโพดต้มของตัวเอง ตุ๊กตอบตกลงทันทีเพราะอยากช่วยฉัน ปรากฏว่าขายดีมากจากเริ่มแรกขายวันละหนึ่งหม้อก็ขยายเป็นสี่หม้อในเวลาอันรวดเร็ว

ตุ๊กบอกว่า “พี่แก้วอยากลองเปิดร้านเองไหม หนูว่าพี่น่าจะขายดีกว่านี้อีกนะเดี๋ยวหนูจะช่วยหาทำเลให้”

ฉันดีใจและซาบซึ้งในความใจดีของตุ๊กมาก พอเปิดร้านของตัวเองนอกจากขายข้าวโพดก็มีมันต้ม เผือกต้มด้วย ซึ่งก็ขายดีจริงๆ อย่างที่ตุ๊กว่าแต่แล้วก็โชคร้ายอีกจนได้ เพราะยิ่งขายดีมากเท่าไหร่ แม่ค้าร้านตรงข้ามก็ยิ่งเกลียดฉันมากขึ้นเท่านั้น แทบทุกครั้งที่ลูกค้าเข้าร้าน เขาจะตะโกนว่า “นังนี่ใส่เสน่ห์ยาแฝดนะ อย่าไปกินของมัน สกปรกจะตาย ใครกินก็โง่แล้ว!” ลูกค้าหลายคนตกใจเดินหนีออกจากร้าน ฉันได้แต่นั่งเสียใจโดยไม่ตอบโต้ เพราะรู้ดีว่าฉันไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดแม้แต่น้อย

หลังทำงานที่กรุงเทพฯ นานสี่เดือน ฉันกลับไปหาพ่อพร้อมเสื้อผ้าและอาหารอร่อยๆ มากมาย  ครั้งแรกที่พบกันเราสองพ่อลูกกอดกันร้องไห้ ฉันเล่าเรื่องค้าขายอย่างสนุกสนานโดยไม่เล่าเรื่องที่ถูกรังแกเลย เพราะกลัวพ่อไม่สบายใจ ท่านตั้งใจฟังฉันด้วยประกายตาแห่งความสุข ก่อนกลับฉันให้เงินพ่อเก็บเอาไว้ใช้หลายพันบาทและสัญญาว่าจะกลับมาหาทุกสัปดาห์

เวลาแห่งความสุขผ่านไปไม่นาน พอกลับมาขายของก็ต้องทนทุกข์กับคำด่าอีกครั้ง คราวนี้ฉันหมดความอดทนตัดสินใจปิดร้านหนีไปหางานอื่น เพื่อนของตุ๊กพาฉันไปสมัครงานที่บาร์แห่งหนึ่ง ผู้จัดการร้านเห็นฉันครั้งแรกก็ชอบมากให้ทำงานในตำแหน่งที่เงินเยอะที่สุด นั่นคืองานสาวนั่งดริ๊งค์

ฉันอึดอัดใจที่ต้องใส่ชุดน้อยชิ้นและไม่ชอบที่แขกคอยจ้องจะลวนลาม ฉันทนทำได้ไม่ถึงชั่วโมงก็ลาออก ผู้จัดการขอร้องให้ทำงานต่อ โดยย้ายไปเป็นบาร์เทนเดอร์ฉันตกลงเพราะความเกรงใจ แต่ทำได้ไม่กี่เดือนก็ลาออกเพราะคิดเสมอว่าถ้าพ่อรู้ว่าฉันทำงานแบบนี้ท่านคงเสียใจมาก

ช่วงนั้นทุกครั้งที่กลับไปหา พ่อมักบ่นว่าเจ็บคอและปวดเมื่อยตัวเสมอ แต่ไม่ยอมไปหาหมอเพราะไม่มีเงิน เงินที่ฉันให้ท่านทุกสัปดาห์โดนขโมยไปจนหมด ฉันรีบพาพ่อไปหาหมอ หมอบอกว่าพ่อเป็นมะเร็งปอดระยะสุดท้าย อยู่ได้ไม่เกินหนึ่งเดือน ฉันร้องไห้เสียใจที่สุดในชีวิต แต่ต้องฝืนยิ้มเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อเพราะไม่อยากให้ท่านคิดมาก

พ่อขอให้หมอรักษาด้วยการฉายรังสี เพราะอยากอยู่กับฉันให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ หลังฉายรังสีอาการของพ่อทรุดหนักลงอย่างรวดเร็ว ท่านเจ็บปวดและทรมานมาก ไม่กี่วันหลังจากนั้น หมอบอกให้ฉันทำใจเพราะพ่อน่าจะเสียชีวิตภายในคืนนี้สิ้นคำพูดหมอ ฉันทรุดลงกับพื้นร้องไห้โฮอย่างไม่อายสายตาใคร

เมื่อพ่อเสียชีวิตฉันนำเงินเก็บทั้งหมดรวมแสนกว่าบาทไปจัดงานศพ พี่ๆ ทั้งสี่คนไม่มีใครช่วยจ่ายเงินสักบาท  มิหนำซ้ำยังหลอกเอาเงินไปอีกห้าหมื่นบาท โดยบอกว่าจะเอาไปจ่ายค่าเลี้ยงดูแขกในงาน หลังงานศพฉันเหลือเงินติดตัวเพียง 50 บาท ไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อยารักษาไข้หวัดของตัวเอง ฉันนั่งรถเมล์ไปหาพี่สาวเพื่อขอยืมเงิน แต่กลับถูกปฏิเสธและไล่ตะเพิดออกมา

ฉันกลับมาห้องพักด้วยสภาพอิดโรยคิดในใจว่าจะอยู่ไปทำไม ในเมื่อไม่เหลือใครแล้วในโลก จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ปลายสายคือเพื่อนคนหนึ่งที่ฉันเคยให้ความช่วยเหลือ เขารีบมาหาฉันทันทีที่ทราบเรื่อง พาฉันไปหาหมอและบอกว่า

“แก้วจะมัวนั่งเสียใจอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้นะ พ่อคงเสียใจมากถ้ารู้ว่าแก้วกลายเป็นคนสิ้นหวังอย่างนี้ แก้วต้องสู้ ต้องกลับมาเป็นคนเข้มแข็งคนเดิมให้ได้!”

คำพูดของเพื่อนทำให้มีกำลังใจขึ้น วันต่อมาฉันกลับไปขายข้าวโพดต้ม มันต้ม เผือกต้มที่เดิมอีกครั้ง คราวนี้ไม่มีใครตั้งแง่ด่าฉันอีกแล้ว ฉันขายของดียิ่งกว่าเดิมและมีร้านอาหารติดต่อให้ไปส่งผลไม้ให้ ฉันยกตะกร้าข้าวโพดขึ้น - ลงรถเมล์เพื่อไปส่งให้ลูกค้าอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย เพราะคิดอยู่อย่างเดียวว่าต้องขยัน จะได้มีเงินไปสร้างบ้านหลังใหม่ตามความฝันของพ่อ

วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังยกผลไม้เข้าไปส่งที่ร้านอาหาร พนักงานในร้านคนหนึ่งเดินเข้ามาบอกว่า

 

คลิกเลข 3 เพื่ออ่านหน้าถัดไป >>>

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.