เมื่อเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิตเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรามักจะตั้งคำถามว่า เป็นเพราะวิบากกรรมหรือความบังเอิญกันแน่ที่ทำให้ต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้
ทันตแพทย์สม สุจีรา ผู้เขียนหนังสือ“เกิดเพราะกรรมหรือความซวย” กล่าวว่ามีหลายคนเข้าใจผิดว่า การดำเนินชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับกรรมทั้งหมดทุกวินาที ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดมาก เพราะแท้ที่จริงแล้วกรรมมีขอบเขตที่จำกัดในกรอบของตัวเอง บางครั้งวิถีชีวิตของเราก็เป็นไปแบบบังเอิญตามกฎของความน่าจะเป็นหรืออิทธิพลของทฤษฎีไร้ระเบียบ โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นบางโรคก็ไม่ใช่เพราะผลของกรรม บางครั้งก็เป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ เรื่องของอาหารและพืชพรรณ หรือเป็นไปตามธรรมชาติตามหลักอนิจจัง
ตามกฎของธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา การเกิด แก่ เจ็บ ตายก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ใช่เรื่องของกรรม การที่เรามีใบหน้าเหี่ยวขึ้นมีตีนกา มีริ้วรอย นั่นก็เป็นกฎของธรรมชาติแต่เมื่อไรก็ตามที่เรา “เอาความรู้สึก” เข้าไปพัวพันกับกฎของธรรมชาติ เช่น รู้สึกทุกข์ร้อนเหลือเกินกับตีนกาบนใบหน้านั่นเป็นเรื่องของกรรม ซึ่งระดับความทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน ตามแต่ความแรงแห่งเวทนา ตัณหา อุปาทาน ถ้ายังยึดถือการแก่ การเจ็บ และการตาย “เป็นของเรา”ก็ต้องประสบกับความทุกข์อยู่ร่ำไป
แม้ว่า คุณปู - ปริศนา กล่ำพินิจ นางแบบ นักแสดง พนักงานประจำสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 และอดีตพี่เลี้ยงกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์ จะไม่ได้กังวลกับริ้วรอยบนใบหน้า แต่หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คงเป็นวิบากกรรมบางอย่างที่ทำให้ประสบพบเจอกับการพลัดพราก การหย่าร้าง และการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองของรัก
เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นและจบลงเช่นไร อะไรทำให้เธอทำใจยอมรับความจริงได้ เราไปฟังเรื่องราวทั้งหมดกัน
สูญเสียคุณพ่อในวัยเยาว์
ถ้าย้อนกลับไปมองชีวิตตอนเด็ก ๆถือได้ว่าปูเป็นคนที่โชคดีมาก เกิดมามีคุณพ่อ (พันเอกปรีชา กล่ำพินิจ) คุณแม่อยู่ครบ ตอนเกิด คุณพ่อได้รับยศร้อยตรีเป็นทหารหนุ่มไฟแรง แต่ก็ต้องโยกย้ายไปนั่นมานี่ ต้องไปรบที่เวียดนาม เกาหลี ลาว
ส่วนใหญ่ปูและน้อง ๆ จะใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารสื่อสารที่กรุงเทพฯ และกองทัพภาคที่ 3 ที่พิษณุโลก จำได้ว่าทุกเช้าจะได้ยินเสียงทหารวิ่งและร้องเพลงอย่างพร้อมเพรียงกัน การเกิดมาเป็นลูกทหารทำให้ปูได้รับการสั่งสอนเรื่องระเบียบวินัยอย่างเข้มข้นจากคุณพ่อ ส่วนความเป็นแม่บ้านแม่เรือนตามแบบกุลสตรีจะได้รับจากคุณแม่ แม้ว่าคุณแม่จะเป็นคุณนายนายทหาร ลูก ๆ เป็นคุณหนู มีพี่เลี้ยง มีคนขับรถ ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดี ๆ แต่ปูกับน้อง ๆ ก็ได้รับการฝึกให้รู้จักทำอะไรด้วยตัวเองกลับจากโรงเรียน ทำการบ้านเสร็จ ทุกคนมีหน้าที่หมด คนนี้หุงข้าว อีกคนขัดรองเท้าอีกคนซักถุงเท้าหรือชุดชั้นใน (คุณแม่จะสอนให้จำไว้เลยว่า ชุดชั้นในกับถุงเท้าต้องซักเอง ห้ามให้คนอื่นซักให้) ผลัดกันไปแบบนี้ทุกวัน คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงพวกเรามาให้มีความเข้มแข็ง อดทน โดยเฉพาะคุณพ่อจะสอนว่า “ก่อนจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร เราต้องพยายามให้ถึงที่สุดก่อน ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ค่อยขอความช่วยเหลือ”
แล้ววันหนึ่งคำสอนนี้ของคุณพ่อก็ทำให้ปูได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง เพราะในช่วงที่เรียนอยู่ ม.ศ. 5 คุณพ่อก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำขณะปฏิบัติหน้าที่ที่เขาค้อ จังหวัดเพชรบูรณ์ทั้งที่อายุเพียง 44 ปีเท่านั้น
ตอนนั้นลาภ ยศ สรรเสริญที่เราเคยมีหายวับไปกับตา ชีวิตเริ่มเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากที่หวังไว้ว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอก ไปพักกับเพื่อนคุณพ่อที่เป็นทูตทหาร ก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปถ้าจะไปคนเดียว คุณปู่ซึ่งเป็นคนหัวโบราณและเจ้าระเบียบมากก็ไม่อนุญาตให้ไป เพราะไม่เห็นด้วยที่หลานสาวจะไปอยู่เมืองนอกตามลำพัง
ครั้งนั้นปูเสียใจมาก โกรธคุณปู่ ทั้งที่ถ้ามองย้อนกลับไปจะรู้ว่า แท้จริงท่านรักและหวังดีกับเรามาก เพราะเมื่อไม่มีคุณพ่อแล้ว ก็มีท่านเป็นเหมือนเสาหลักให้ครอบครัว คอยจุนเจือเรื่องเงินทองไม่เคยขาด แม้ว่าหลังจากคุณพ่อเสียแล้ว ลูก ๆ ทุกคนจะได้รับการส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรีด้วยเงินทุนจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ แต่หากขาดเหลืออะไร ก็มีคุณปู่คอยช่วยเสมอมาสำหรับปู ท่านจึงเป็นฮีโร่อีกคนในชีวิตเพราะคุณปู่คือคนที่ทำให้เราสู้ได้อีกครั้ง ถ้าไม่มีคุณปู่ พวกเราคงแย่เหมือนกัน ตอนคุณปู่เสีย ปูเสียใจมาก ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในชีวิต
โดยปกติเรามักจะคิดว่าการตายเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะไปยึดติดว่านี่เป็น “พ่อเรา ปู่เรา” แต่ในแง่ของธรรมชาติ การตายเป็นเรื่องธรรมดา ปัญหาอยู่ที่ตัวเราไปเศร้าโศกเสียใจ เห็นว่าการตายเป็นกรรมหนักทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพียงการเกิด - ดับของจิตหนึ่งครั้งเท่านั้น เช่นเดียวกับที่เรามีจิตเกิด - ดับอยู่ทุกวัน แต่ตอนนั้นปูยังคิดไม่ได้อย่างนี้ จนผ่านมาถึงวันนี้จึงเริ่มคิดได้
ความบังเอิญไม่มีจริง
เมื่อไม่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอก ปูก็สอบเข้าเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ตอนเรียนปี 2 เริ่มไปฝึกงานที่บริษัททำหนังโฆษณา พี่ ๆ ทีมงานเห็นว่าหน่วยก้านดีก็ให้ถ่ายโฆษณา ทั้งที่ตอนนั้นปูไม่ได้รักสวยรักงามเลย แถมยังไว้ผมยาว ๆ เซอร์ ๆ สวมกำไลเงินเต็มข้อมือดูติสต์ ๆ แต่พอเขาจับแต่งหน้าทาปากแต่งตัวเป็นผู้หญิงหวาน ๆ อืม…ม…ก็พอใช้การใช้งานได้ ตั้งแต่นั้นมาปูก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ ได้ถ่ายโฆษณาหลายชิ้น ถ่ายมิวสิควิดีโอ ถ่ายแบบ เงินก้อนแรกที่ได้มา ปูแบ่งไปให้คุณแม่ด้วย แอบปลื้มตัวเองที่มีรายได้ตั้งแต่เรียนปี 2
หลังจากเรียนจบปูก็ทำงานในแวดวงโฆษณา และรับงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณาควบคู่กันมาเรื่อย ๆ และก่อนที่จะมาทำงานกับทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 ปูก็ทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทนามทอง ซึ่งขายเหล้า ไวน์ และเครื่องพิมพ์ดีด
การมาทำงานในวงการบันเทิงเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญก็จริง แต่ปูคิดว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว เพราะหลังจากถ่ายมิวสิควิดีโอของ พี่เบิร์ด - ธงชัย แมคอินไตย์ทางช่องก็เรียกให้ไปเทสต์หน้ากล้อง และชักชวนให้ปูมาแสดงละคร แต่ตอนนั้นปูคิดหนักมาก เพราะคุณปู่ไม่เห็นด้วย ท่านมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง เต้นกินรำกินแต่ที่สุดปูก็ดื้อดึง ยืนยันที่จะเล่นละครให้ได้ ถึงขนาดบอกกับคุณปู่ว่า
“ปูจะใช้ชื่อจริง นามสกุลจริง ปริศนากล่ำพินิจ นี่ละในการแสดงละคร ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา ถ้าเราไม่เดินไปในทางที่ผิด ใครก็ดึงเราไปไม่ได้” ปูดูเป็นเด็กดื้อในสายตาคุณปู่ตลอด ปูหายไปเกือบปีเพื่อทำงานพิสูจน์ตัวเองให้คุณปู่เห็นว่า หลานคนนี้ไม่ได้ทำอะไรให้เสียหายมาถึงตระกูลจนคุณปู่ยอมรับ ท่านแอบดูละครที่หลานเล่นปูก็ทำให้คุณปู่ภูมิใจได้ในที่สุด
หลังจากนั้นเหมือนทุกอย่างได้รับการจัดสรรมาแล้ว เมื่อลาออกจากที่ทำงานเก่ามาทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3เลขาฯคนหนึ่งของผู้บริหารก็ลาออก ทำให้ปูจับพลัดจับผลูมาเป็นเลขาฯของ คุณประชา มาลีนนท์ หลังจากทำงานไปได้ระยะหนึ่งเจ้านายก็มอบหมายงานใหญ่ให้ดูแล คือการเป็นพี่เลี้ยงของกองประกวดในการจัดการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์
คิดดูว่าเด็กอายุ 24 ปีจะรู้สึกกดดันมากแค่ไหนที่ได้รับมอบหมายงานใหญ่ขนาดนี้ ถึงแม้จะพอมีพื้นฐานที่ดีมาบ้างจากการที่ได้รับการอบรมมาจากคุณพ่อคุณแม่ คุณปู่ แต่ลึก ๆ ก็ยังรู้สึกว่าคนที่จะมาทำงานนี้ต้องดูดี ต้องมีทั้งคุณวุฒิ วัยวุฒิและต้องมีประสบการณ์ แต่เราไม่มีอะไรเลย
ปีแรกของการทำงานนี้ ปูยอมรับว่าเครียดมาก โชคดีที่ได้เรียนรู้งานจากรุ่นพี่ ๆทำให้สามารถปรับตัวได้ แต่บางครั้งด้วยความที่จดจ่อกับงานมาก และเป็นคนค่อนข้างตรงมาก…ก…ก เมื่อบวกกับหน้าตาและน้ำเสียงที่ดุ ทำให้น้อง ๆ ที่เข้าประกวดกลัวปูกันเป็นแถว จนหลัง ๆ ต้องหันมาปรับปรุงตัวเองให้ลดคำพูดคำจาและท่าทางที่อาจจะไปทำร้ายจิตใจคนอื่นลง
อย่างไรก็ตาม มีน้อง ๆ หลายคนมาขอบคุณปูที่ดุเขาในวันนั้น เพราะทำให้เขานำมาใช้ในการทำงาน ทั้งเรื่องความมีระเบียบวินัย การตรงต่อเวลา เขารู้ว่าเราดุเพราะอะไร แค่นี้ปูก็ปลื้มมากแล้ว ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันตลอด ปูสุขใจที่ได้เห็นหลาย ๆคนเจริญก้าวหน้า มีครอบครัวที่อบอุ่นตอนนี้ปูมีหลาน ๆ เพียบเลย
ตอนนั้นดูเหมือนเรื่องงานกำลังไปได้ดีและดีมาก ๆ เสียด้วย แต่เรื่องความรักนี่สิ…ถ้ามองในทางพุทธศาสนา การตัดสินใจของเราเป็นไปตามกฎแห่งกรรม การที่คนสองคนได้มาแต่งงานกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องของพลังแห่งกรรมที่ทั้งคู่เคยทำร่วมกันมา จนทำให้เกิดดวงจิตที่รักใคร่ชอบพอต่อให้ใครบอกว่าเขาคนนั้นไม่ดีอย่างไร แต่เมื่อเรารักเสียอย่าง คำห้ามปรามของใครก็ไร้ความหมาย ทั้งที่จริง ๆ แล้วปูเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่แต่งงาน ไม่มีลูก อยากใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่กับเพื่อน ๆ เพราะปูมีเพื่อนเยอะมาก แต่คงเพราะพรหมลิขิตที่ทำให้เราต้องมาชดใช้กรรมร่วมกัน
ชีวิตรักของปูจึงต้องดำเนินไปบนหนทางแห่งทุกข์ และต้องเผชิญกับวิบากกรรมหลายรูปแบบ…
(โปรดติดตามตอนต่อไป)