วันนี้เป็นอีกวันที่ท้องฟ้าแปรปรวนเหลือเกิน ตอนเช้ายังสดใสสว่างจ้า อากาศกำลังสบาย ลมพัดมาแผ่ว ๆ แต่ตอนนี้ท้องฟ้ากลับแปรเปลี่ยนเป็นมืดมนดำทะมึนด้วยเมฆฝน ลมพัดโหมแรงขึ้น เหล่านกน้อยที่กำลังบินฉวัดเฉวียนอยู่บนฟ้าคงกำลังหาที่กำบัง
บรรยากาศแบบนี้หากเป็นเมื่อก่อนฉันจะรู้สึกกังวลใจ เพราะฉันชอบเปิดหน้าต่างห้องทำงานทิ้งไว้เพื่อให้ลมพัดผ่าน แต่พอถึงเวลาฝนตก ถึงแม้พ่อจะทำกันสาดให้ยื่นยาวออกไปแล้วก็ตาม แต่เมื่อมีลมแรง ๆ ฝนก็สาดเข้ามาทางหน้าต่าง เจ้ากันสาดที่พ่อทำไว้กลับช่วยอะไรไม่ได้เลย ทำให้หนังสือเอกสารสำคัญ ๆ และสิ่งของอีกหลายอย่างบนโต๊ะเปียกชุ่ม แต่ตอนนี้ฉันได้ปิด “หน้าต่างบานนั้น” ไว้แล้ว จึงทำให้ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยความรู้สึกราวกับได้กำชัยชนะเล็ก ๆ ส่วนในใจก็คิดว่า “เจ้าฝนเอ๊ย เจ้าทำอะไรห้องทำงานของฉันไม่ได้หรอก”
หน้าต่างก็คล้ายใจคน
เมื่อเราเปิดออกก็ทำให้ได้เรียนรู้หลาย ๆ เรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เช่น ความเจ็บไข้ได้ป่วย การพลัดพรากจากคนที่เรารัก การถูกเลิกจ้างงาน ความล้มเหลวในการทำธุรกิจ หากเราได้เตรียมใจไว้ก่อน เราจะรับมือกับเรื่องราวร้าย ๆ ได้ดีขึ้นและคงผ่อนความรู้สึกจากหนักให้เป็นเบาลงไปได้บ้าง
หลายปีที่ผ่านมาฉันเที่ยวหาอ่านหนังสือทางด้านปรัชญาและจิตวิทยาตะวันตก แต่สุดท้ายเมื่อได้พบคำสอนของพระพุทธเจ้าและได้ศึกษาธรรมะ ก็กลับพบว่าคำสอนของพระพุทธองค์นั้นล้ำเลิศลึกซึ้งกว่าปรัชญาและจิตวิทยาของฝั่งตะวันตกเสียอีก ฉันจึงได้อาศัยพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องออกจากทุกข์ เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งเสียคุณตาที่ฉันรักมากไป ในยามที่ฉันมีความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ฉันจึงมีแต่ธรรมะเท่านั้นเป็นที่พึ่ง
ฉันพยายามเอาความตายของคุณตามาฝึกจิตและสอนใจตัวเองว่า ชีวิตเรานี้แสนสั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นเรื่องธรรมดา เราควรดำรงตนอยู่บนความไม่ประมาท เพราะความตายนั้นเกิดกับเราได้ทุกเมื่อ เราจึงควรสั่งสมความดี มิใช่สิ่งของนอกกาย เพราะเมื่อตายไปเราก็ไม่สามารถเอาไปได้แม้เพียงเศษเสี้ยว
เมื่อฉันได้เรียนรู้อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งเป็นความจริงแท้ ฉันจึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่าสักวันหนึ่งฉันจะอยู่บนกองทุกข์ได้แบบไม่ทุกข์อีกต่อไป
เมื่อ “เปิดหน้าต่าง” ก็เท่ากับ “เปิดใจ” ฉันจึงอยากจะใช้เวลาที่เหลืออยู่อย่างมีค่าในทุก ๆ วัน ทุก ๆ นาที
แล้วคุณล่ะ ได้เตรียมใจเปิด “หน้าต่างบานนั้น” แล้วหรือยัง
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ตุ้งหนิงมีเรื่องเล่า