เมื่อธรรมะเยียวยาปัญหาเด็กเรียกร้องความสนใจ (ตอนจบ)

DHAMMA THERAPY

เรื่องราวของคนธรรมดา ตอน ปลดทุกข์ (จบ)

 

เรื่อง ผู้ที่มาพบพระอาจารย์นวลจันทร์  กิตติปัญโญ

เรียบเรียง ผั่นพั้น 

 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สงสัยว่า ธรรมะรักษาทุก (ข์) โรคได้จริงหรือไม่ บทความนี้มีคำตอบ! พบกับความเป็น “อกาลิโก” แห่งคำสอนของพระพุทธเจ้าผ่านเรื่องราวของเด็กสาวธรรมดาคนหนึ่งที่เหลือ “พ่อ” เพียงคนเดียวในชีวิต  ทว่าผู้หญิงคนหนึ่งกลับก้าวเข้ามาแย่งพ่อของเธอไป  จนทำให้เธอต้องแปลงร่างเป็นนางร้าย

หลังกลับจากเข้าคอร์ส “เพียงแค่รู้”ครั้งแรก  ชีวิตฉันเริ่มมีหลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป  เริ่มจากความรู้สึกข้างใน…จากที่เคยชอบความสนุกสนาน  ตื่นเต้นฉันกลับหันมาชอบความสุขสงบที่เกิดขึ้นในใจ

หลังจากที่ตัดสินใจเดินบนเส้นทางธรรม  ฉันและแฟนก็เริ่มมีปัญหาระหอง ระแหงกันบ่อยครั้ง  เพราะความเข้าใจ  เวลาและศรัทธาไม่ตรงกัน  สุดท้ายฝ่ายชายจึงขอจบความสัมพันธ์ลงกลายเป็นเพียงแค่เพื่อนกัน

ช่วงเวลานั้นฉันเสียน้ำตากับความรักไปไม่น้อย  แทบกินข้าวกินน้ำไม่ได้  อาเจียนทุกอย่างออกมาหมด  ฉันถามตัวเองอยู่ตลอดว่า  ฉันทำผิดอะไร  ทำไมต้องเลิกกัน…สิ่งที่ทำได้มีเพียงแค่หยิบหนังสือธรรมะขึ้นมาอ่านตลอดเวลาและหยิบบทสวดมนต์ทุกบทขึ้นมาสวดเท่าที่จะทำได้

ทุกครั้งที่สวดมนต์  จิตใจของฉันจะจดจ่ออยู่กับตัวอักษร  พอความคิดวิ่งไปทางนู้นทางนี้  ฉันก็พยายามดึงกลับมาที่บทสวด  เมื่อรู้ทัน  ความคิดก็ดับไป

เมื่อถึงเวลาที่พระอาจารย์นวลจันทร์จัดคอร์สปฏิบัติธรรมอีกครั้ง  ท่านจึงชวนฉันไปเข้าคอร์ส  วันแรก ๆ ฉันเหมือนหุ่นยนต์ให้สวดมนต์ก็สวด  ให้นั่งสมาธิก็นั่ง  แต่น้ำตากลับไหลออกจากตาตลอด  ทว่าในช่วงเย็นขณะที่กำลังสวดสรภัญญะ  บทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัยว่า  “…ชี้ทางบรรเทาทุกข์และชี้สุขเกษมศานต์  ชี้ทางพระนฤพาน  อันพ้นโศกวิโยคภัย  พร้อมเบญจพิธจักษุจรัสวิมลใส  เห็นเหตุที่ใกล้ไกล  ก็เจนจบประจักษ์จริง  กำจัดน้ำใจหยาบ  สันดานบาปแห่งชายหญิง  สัตว์โลกได้พึ่งพิง มละบาปบำเพ็ญบุญ”  น้ำตาฉันก็เริ่มไหลทะลักออกมาครั้งใหญ่  รู้สึกเหมือนบางอย่างเริ่มคลายออกไปจากใจ

วันรุ่งขึ้นทุกคนในคอร์สออกไปเดินจงกรมข้างนอก  ในขณะที่ฉันกำลังก้มหน้าก้มตาเดิน  จู่ ๆ ก็มีเสียงใครคนหนึ่งกระแอมเบา ๆ  เมื่อเงยหน้าขึ้นมามองก็พบพระอาจารย์เดินมากับลูกศิษย์  ท่านถามขึ้นมาว่า  “เดินได้ไหม”  ฉันตอบว่า “เดินได้ค่ะ”  ก่อนจะแอบเสริมขึ้นมาในใจว่า  เดินได้มาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วค่ะ  ท่านบอกต่อไปว่า  “ถ้าเดินได้จะเข้าใจ  ถ้าเข้าใจจะเข้าใจ  ถ้าไม่เข้าใจจะเข้าใจ”  พูดจบพระอาจารย์ก็เดินจากไป

แม้จะงงงวยในคำพูดของพระอาจารย์แต่เมื่อได้กลับมาทบทวน  ฉันก็ถามตัวเองว่า ‘นี่เดินอะไรอยู่…เดินจงกรมอยู่  เดินจงกรมแล้วใจอยู่กับอะไร…อยู่กับการเดินหรือว่าเรื่องอื่น’  ทันใดนั้นฉันก็เข้าใจในสิ่งที่พระอาจารย์สอน  จากเพียงแค่ “ได้เดิน”จึงเริ่ม “เดินได้” อย่างแท้จริง

ก่อนกลับพระอาจารย์สำทับว่า“ทุกอย่างแค่เพียงชั่วคราวนะ  ไม่มีอะไรที่มาแล้วไม่ไป”…ณ ตอนนั้นถ้าไม่ได้ธรรมะของพระอาจารย์  ฉันอาจกลายเป็นผีบ้าไปอีกนานเพราะหาทางออกจากทุกข์ไม่เจอ  ไม่ยอมรับความจริงว่าความรักจบลงแล้ว  ยังอยากยึดอยากกำเอาไว้

บทเรียนนี้ทำให้ฉันต้องขอบคุณความทุกข์และขอบคุณทุก ๆ คนที่ทำให้ทุกข์เพราะความทุกข์สอนอะไรฉันมากมาย

หลังจบการฝึกงานกับนิตยสาร Secretฉันยังติดตามช่วยเหลืองานของพระอาจารย์เสมอ  ครั้งหนึ่งฉันเคยถามพระอาจารย์ว่า“ตอนนี้หนูเครียดกับการวางแผนอนาคตในการทำงานมาก ๆ  กลัวว่าจะทำไม่ได้ตามที่วางแผนไว้แล้วจะเสียใจ  ขอคำแนะนำด้วยค่ะ”

ท่านตอบกลับเพียงว่า  “ลองวางแผนสิ  ‘วาง’ แผน ‘ลง’ แล้วจะไม่เครียด…ถือไว้แบกไว้  หนักไหม  วางมันลงไป  เป็นนักศึกษาเขาบอกให้เรียนรู้  เก็บเกี่ยวประสบการณ์ ตรงไหนดีตรงไหนไม่ดีบริษัทไหนเป็นแบบไหน ปกครองโดยธรรมไหม  ให้ศึกษาดูไปเรื่อย ๆ  เมื่อถึงเวลาประสบการณ์ตรงนั้นจะบอกเราเอง”

วันหนึ่งเมื่อกลับมาถึงบ้าน  ฉันพยายามเปิดไฟในห้องนอน  ทว่าเปิดเท่าไรก็ไม่ติดเปิด ๆ ปิด ๆ อยู่อย่างนั้น  สุดท้ายจึงตัดสินใจปล่อยไปและยอมอยู่ในความมืด  จู่ ๆ ก็มีความคิดผุดเข้ามาในหัวว่า  ‘เราเกิดมาทำไม…เกิดมาแล้วก็ตายวนไปวนมา  เหมือนไฟที่เปิด ๆ ปิด ๆ…เรียนหนังสือ  ทำงานเก็บเงินซื้อบ้าน  มีครอบครัว  มีลูก  ส่งลูกเรียนหนังสือ  สุดท้ายก็ตายอีก…แล้วเราทำทุกอย่างนี้ไปเพื่ออะไร!!!’

หลังจากคุยกับตัวเองจบ  ฉันนั่งร้องไห้อยู่นานก่อนจะบอกกับตัวเองว่า  ‘เมื่อชาตินี้เกิดมาแล้ว  เราต้องทำความดี  ต้องปฏิบัติแบบนี้เรื่อยไปจนกว่าจะไม่ต้องกลับมาเกิดอีก สังสารวัฏมันหลอกเรา  ด้วยการโยนความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ มาให้  แต่หลังจากนั้นมันทุกข์ล้วน ๆ’

อีกสิ่งหนึ่งที่พระอาจารย์นวลจันทร์มักสอนเสมอคือ  “ต่อให้เข้าคอร์สเป็นร้อยเป็นพันคอร์ส  ไปกราบไหว้พระอรหันต์นอกบ้าน ไม่ไหว้พระอรหันต์ในบ้าน  ชีวิตนี้ยังไงก็ไม่เจริญ”  ฉันจึงสัญญากับตัวเองว่าเมื่อกลับจากคอร์สฉันจะกลับไปกราบเท้าพ่อเพื่อขออโหสิกรรมกับเรื่องราวเลวร้ายในอดีตที่ผ่านมา  และอีกคนที่ฉันตั้งใจจะขอขมาก็คือ แฟนใหม่ของพ่อนั่นเอง!

เรื่องแฟนใหม่มาแย่งพ่อไปเป็นปมที่ติดค้างในจิตใจฉันมานานจนยากจะแกะออกแต่พระอาจารย์บอกเสมอว่า  “ควรสำนึกบุญคุณของผู้ที่มีพระคุณต่อเรา  แค่เขาให้ข้าวเม็ดเดียว  น้ำหยดเดียวก็ถือว่ามีพระคุณแล้ว  ยิ่งเขาให้ความรักความเมตตาเอ็นดูแก่เรา  ยิ่งเป็นพระคุณยากที่จะตอบแทน

“เมื่อเราเกลียดใคร  ใจเรานั่นแหละที่ร้อนก่อน  เรานี่แหละเป็นคนจุดไฟเผาตัวเองตายก่อนจะไปเผาคนอื่นต่อ…”  คำสอนของพระอาจารย์ยังดังก้องอยู่ในหู  ฉันจึงขอดับไฟกองนี้ลงด้วยการเปลี่ยนความคิดใหม่เพราะอันที่จริงเมื่อแม่เสียแล้ว  คนที่คอยอยู่ข้างพ่อและดูแลฉันคือผู้หญิงคนนี้  เราจึงควรขอบคุณเขา  ไม่ใช่จงเกลียดจงชัง

เมื่อคนในบ้านพร้อมหน้าพร้อมตา ฉันจึงทำในสิ่งที่ “สมควรธรรม” ด้วยการเข้าไปกราบลงที่เท้าพ่อพร้อมกับขออโหสิ-กรรมที่เคยล่วงเกินพ่อทั้งกาย  วาจา  ใจพ่อโอบกอดฉันไว้ก่อนบอกว่า  “ไม่เป็นไรพ่อให้อภัยลูกเสมอและไม่เคยโกรธลูกเลยสักนิด  พ่อเองก็ขอโทษหนูเหมือนกันนะลูก”

ส่วนอีกท่านหนึ่ง  แม้ฉันจะเตรียมคำพูดไว้มากมาย  แต่กลับไม่สามารถพูดออกมาได้  นอกจาก…“หนูขอโทษ  หนูผิดไปแล้วจริง ๆ  อโหสิกรรมให้หนูด้วย”  ฉันพูดได้เพียงเท่านี้  แฟนของพ่อก็ร้องไห้โฮออกมาหนักกว่าฉันอีก  ฉันคิดว่าเขาคเจ็บ

กับการกระทำของฉันมาเป็นเวลานาน

“ไม่เป็นไร  อาให้อภัย  เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะ”  ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้  ฉันรู้สึกเหมือนความรู้สึกหนัก ๆ ที่ติดค้างอยู่ข้างในใจทั้งหมดสลายไป  เวลานี้เราทั้งคู่ได้ปลดทุกข์ออกมาจากใจของเราเสียที

หากรู้ว่าเพียงแค่ให้อภัยและปล่อยวางจะทำให้สบายใจขนาดนี้  ฉันคงทำไปตั้งนานแล้ว…

 

 

 

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.