ชีวิตที่เหลือ…เพียงตัวและหัวใจ ของ สีดา พัวพิมล
ใครจะคิดว่าแค่ความพลาดพลั้งในการบริหารเงิน จะทำให้บั้นปลายชีวิตของ สีดา พัวพิมล ต้องสิ้นเนื้อประดาตัวและอยู่อย่างโดดเดี่ยว
เมื่อฉันผันตัวมาเป็นผู้จัดละคร ต้องลงทุนเองทุกอย่างเพื่อนำโปรเจ็กต์ละครไปเสนอบริษัทต่าง ๆ ที่สนใจ เป็นช่วงที่ยังไม่มีรายรับเข้ามา ประกอบกับก่อนหน้านี้ทำละครขาดทุนมาแล้ว จึงต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อนำมาเลี้ยงทีมงานและเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อให้งานดำเนินต่อไปได้
หนี้ที่ใช้ไม่หมด
ช่วงแรก ๆ ฉันขายข้าวของในบ้านเพื่อนำเงินมาใช้บ้างแต่หลัง ๆ เมื่อหาเงินมาใช้จ่ายไม่ทันจึงตัดสินใจกู้เงินนอกระบบตามที่มีคนแนะนำ เพราะไม่อยากรบกวนหยิบยืมเงินจากคนรู้จัก อีกทั้งการกู้แบบนี้ก็ไม่ต้องมีขั้นตอนอะไรเยอะแยะแค่มีคนเซ็นค้ำประกันก็ได้เงินมาใช้แล้ว
ตอนนั้นฉันคิดเพียงแค่ว่า “อีกไม่นานคงได้งานที่บริษัทไหนสักแห่งและจะมีเงินมาคืนได้ทันเวลา” แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เพราะแต่ละบริษัทที่ไปเสนองานนั้นแรก ๆ ทำท่าว่าสนใจ แต่สุดท้ายก็ปฏิเสธทุกราย
“ไม่เป็นไร ยังไงก็ต้องสู้ต่อไป”
แม้จะโดนปฏิเสธงานครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ฉันไม่เคยท้อและพร้อมเริ่มต้นใหม่เสมอ แต่การเริ่มต้นทำงานใหม่แต่ละครั้งต้องลงทุนไปก่อน จึงต้องกู้เงินนอกระบบรายอื่นมาทำงานอีก จากหนี้หลักหมื่นสะสมไปเรื่อย จนสุดท้ายมียอดอยู่ที่ประมาณสองแสนบาท
แม้เป็นจำนวนเงินไม่มากนัก แต่กลับต้องเสียดอกเบี้ยถึงวันละสามสี่หมื่นบาท วันไหนไม่มีจ่าย เจ้าหนี้จะส่งคนมาตะโกนทวงอยู่หน้าบ้าน ทำให้อับอาย ฉันจึงต้องไปหยิบยืมคนในวงการเพื่อมาชดใช้หนี้ไปวัน ๆ ส่วนตัวเองก็ยอมอดมื้อกินมื้อโดยไม่เคยปริปากบอกใคร
ดอกเบี้ยอัตราหฤโหดจากการกู้นอกระบบเพิ่มพูนขึ้นทุกวัน หนี้ไม่กี่แสนกลายเป็นล้านบาท บ้านที่อาศัยอยู่ก็ต้องเอาไปขายฝาก นำเงินมาใช้ดอกเบี้ยให้ได้ในแต่ละวัน แต่ก็ยังไม่พอ จนฉันต้องแบกหน้าไปหยิบยืมเงินจากคนโน้นคนนี้มาใช้ แต่ก็ไม่สามารถหามาคืนได้หมด จึงต้องกลายเป็นลูกหนี้คนนั้นคนนี้จนลือกันไปทั่ววงการว่า
“สีดาติดพนัน ยืมเงินคนทั้งวงการไปเข้าบ่อน”
ฉันไม่เคยปริปากแก้ข่าวใด ๆ และถ้าไม่มีใครถาม ฉันก็ไม่ยอมพูดเด็ดขาด เมื่อฉันไม่มีเงินมาคืนเจ้าหนี้ ต้องผัดผ่อนไปเรื่อย สุดท้ายก็กลายเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตถึงกับต้องขึ้นโรงขึ้นศาล
เหตุเกิดเพราะว่าในระหว่างที่ทำงานเป็นผู้จัดละครฉันเคยไปยืมเงินจากน้องคนหนึ่งในวงการบันเทิง ซึ่งเคยเป็นเพื่อนของลูกชายมาลงทุน แต่ภายหลังต้องใช้เงินมากขึ้น ฉันจึงชวนเขามาร่วมทุนทำละครด้วยกัน แต่เมื่อละครมีปัญหาเปิดกล้องไม่ทันตามกำหนดเวลา เพราะยังหาพระเอกนางเอกไม่ได้ เขาเข้าใจผิดว่าฉันโกงเงินไป และเกิดเป็นเรื่องฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล จนฉันต้องกลายเป็นจำเลยฐานฉ้อโกงเงินจำนวน550,000 บาท
การโดนฟ้องร้องเหมือนเป็นตราบาปในชีวิต งานละครที่ทำอยู่ต้องหยุดชะงัก และต้องต่อสู้คดี สู้กับการถูกตราหน้าจากสังคมว่าเป็นคนไม่ดี ชื่อเสียงเสียหายป่นปี้ ไม่มีใครเชื่อถือบ้านที่เคยอยู่สุขสบายโดนยึดไป เพื่อนรอบตัวก็ห่างหาย คู่ชีวิตที่อยู่กินด้วยกันเป็นสิบปีก็ทิ้งไป โดยที่ไม่ช่วยเหลือและไม่เคยถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย
ลูกสาวของฉันพลอยเดือดร้อนไปด้วย เพราะเคยให้ช่วยค้ำประกันตอนกู้นอกระบบ เจ้าหนี้ที่ตามหนี้จากฉันไม่ได้ก็ไปตามเก็บเงินจากลูกสาว ซึ่งฉันรู้สึกเสียใจจริง ๆ ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ คงไม่ใช้วิธีง่าย ๆ แบบนี้ในการหาเงินแน่นอน
ชีวิตตกอับ
ช่วงที่มีคดีติดตัว ฉันต้องใช้ชีวิตอยู่คนเดียว เก็บตัวอยู่ในบ้านที่อาศัยคนอื่นอยู่ ไม่ค่อยออกไปไหนเพราะไม่อยากพบเจอใคร เงินที่มีใช้ก็ได้จากลูกสาวซึ่งย้ายไปต่างประเทศกับครอบครัว เขาส่งเงินมาให้ใช้เดือนละสี่พันบาท เงินที่ได้มาฉันทยอยใช้หนี้เดือนละสองพันบาท และเก็บไว้ใช้เองสองพันบาท มีเท่าไรก็ใช้เท่านั้น ไม่อยากรบกวนลูกอีก เพราะลูกก็มีภาระที่ต้องดูแลครอบครัวเหมือนกัน
เวลานั้นลำบากที่สุด ฉันต้องกินไข่ทุกวันเพื่อประทังชีวิตเพราะไม่มีเงินซื้ออาหารดี ๆ ต้องเอาของที่มีอยู่ไปขายเพื่อหาเงินมาใช้จ่ายไปวัน ๆ บางครั้งได้แต่นั่งร้องไห้อยู่คนเดียวในบ้าน เพราะท้อแท้กับชีวิตเหลือเกิน แต่ฉันก็พยายามให้กำลังใจตัวเอง ยืนหยัดที่จะสู้ สู้ที่จะมีชีวิตอยู่ เพื่อวันข้างหน้าจะได้หาเงินมาใช้หนี้ที่หยิบยืมคนอื่นมา
แม้ต้องเผชิญปัญหาเพียงลำพัง แต่ฉันไม่เคยคิดฆ่าตัวตายเลย ทั้งที่การอยู่ตัวคนเดียวจะสร้างบรรยากาศให้ทำเรื่องแบบนี้ได้ง่ายมาก แต่ฉันเลือกที่จะไม่ทำ เพราะรู้ว่ามันบาปมาก ฉันเชื่อว่ากว่าจะเกิดมาเป็นคนไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นหากเรายังมีชีวิต มีลมหายใจ เราควรต่อสู้ให้ถึงที่สุด สู้และมีชีวิตให้คุ้มกับที่ได้เกิดมา
ช่วงที่ฉันเก็บตัวอยู่คนเดียวนั้น มีน้องที่เคยทำงานด้วยกันมาเมื่อ 20 กว่าปีก่อนมาเยี่ยมเยียนที่บ้านหลายครั้ง แต่ฉันไม่ได้ออกไปพบ เพราะไม่รู้ว่าเป็นใคร จนสุดท้ายเขาทิ้งกระดาษโน้ตไว้ให้ที่หน้าบ้าน เมื่อฉันโทร.กลับไป เขาจึงชวนมาช่วยงานที่ร้านอาหารของเขา
การได้ออกมาเจอโลกภายนอก เจอผู้คน ทำให้ฉันมีชีวิตชีวาขึ้นบ้าง ฉันมาช่วยงานที่นี่โดยไม่ได้หวังค่าตอบแทนใด ๆ เพราะได้อาศัยกินอาหารที่ร้านจัดให้ อีกทั้งการมีงานทำก็ทำให้สภาพจิตใจของฉันดีขึ้นมาก
สำหรับเรื่องฟ้องร้องนั้น ฉันยืนหยัดสู้คดีมาถึงสี่ปี ด้วยความช่วยเหลือจาก ทนายสันติ ปิยะทัต ที่รับว่าความให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใด ๆ เลย ในที่สุดทั้งสามศาล และสุดท้ายศาลฎีกาตัดสินยกฟ้องคดีเมื่อเดือนสิงหาคม 2557 ซึ่งเป็นการประกาศให้ทุกคนรู้ว่าฉันไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกงใคร
ฉันดีใจมากที่พ้นข้อกล่าวหา แต่ก็ดีใจอยู่คนเดียวเพราะไม่เหลือใครอีกแล้ว
ทุกวันนี้ได้มาทำงานเป็นผู้จัดการร้านส้มตำเมืองทองเพราะเจ้าของร้านทราบข่าวว่าฉันต้องการทำงาน ซึ่งนับว่าเขามีน้ำใจมาก
ฉันวางแผนจะเก็บหอมรอมริบให้ได้เงินสักก้อน เพื่อเปิดร้านขายข้าวแกงเล็ก ๆ เพราะชอบทำอาหารและพอมีฝีมืออยู่บ้าง และตั้งใจอยู่ทุกวันทุกคืนว่าจะหาเงินมาใช้หนี้เจ้าหนี้ทุกคนให้ได้
ที่ผ่านมาฉันไม่เคยย่อท้อในการต่อสู้กับปัญหาหนัก ๆ ที่ถาโถมเข้ามา เพราะเชื่อว่าชีวิตของคนเราก็เหมือนกับลูกบอลไม่ว่าจะหล่นลงพื้นสักกี่ครั้ง มันต้องกระเด้งขึ้นมาใหม่
เมื่อชีวิตดิ่งลงถึงจุดต่ำสุด ก็ต้องมีวันที่ดีขึ้นมาได้ ขอเพียงมีใจฮึดสู้และไม่ย่อท้อเท่านั้น
เรื่อง สีดา พัวพิมล เรียบเรียง เชิญพร คงมา ภาพ วรวุฒิ วิชาธร สไตลิสต์ สุธีร์ รติวัฒน์บุญญา แต่งหน้า - ทำผม ภูดล คงจันทร์ ขอขอบคุณ ศูนย์การค้า ธัญญาพาร์ค ศรีนครินทร์ เอื้อเฟื้อสถานที่