พระไพศาล

เมื่อสิ่งสามัญ กลายเป็นความอัศจรรย์ บทความจาก พระไพศาล  วิสาโล  

เมื่อสิ่งสามัญ กลายเป็นความอัศจรรย์ บทความจาก พระไพศาล  วิสาโล

บทความจาก พระไพศาล  วิสาโล  

ภิกษุฟับดัง  ธรรมาจารย์แห่งหมู่บ้านพลัม  ไม่คาดคิดมาก่อนว่าตนจะเป็นมะเร็ง จนกระทั่งวันหนึ่งหมอยืนยันว่านั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับท่าน ยิ่งไปกว่านั้น มะเร็งได้ลุกลามถึงระยะที่สามแล้ว หากท่านไม่รับเคมีบำบัดก็อาจมรณภาพในสามเดือน

ทีแรกนั้นท่านตกใจมาก  รู้สึกกลัวขึ้นมา  แต่ก็มีสติรู้ทันความกลัวนั้น  แล้วใจก็สงบลง  นับแต่นั้นก็มีความเปลี่ยนแปลงบางอย่างเกิดขึ้นกับท่าน  ท่านรู้สึกถึงมหัศจรรย์ของชีวิตและรับรู้ได้ถึงความงดงามของธรรมชาติรอบตัว  ไม่ว่าท้องฟ้าหรือดอกไม้

“เมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา  ฉันให้ความสนใจอย่างมากต่อผีเสื้อ  ฉันเบิกบานกับการเฝ้ามองผีเสื้อ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นมัน”

0
สำหรับคนจำนวนไม่น้อย  คำวินิจฉัยของแพทย์ดังกล่าวเป็นเสมือนคำตัดสินประหารชีวิตที่ทำให้จิตใจตกต่ำย่ำแย่ราวกับตายทั้งเป็น  แต่สำหรับท่านฟับดัง  มันกลับทำให้ท่านซาบซึ้งในคุณค่าของชีวิตและสรรพสิ่งที่ประสบพบเห็น  ทุกสัมผัสที่ดูเหมือนดาษดื่นกลับกลายเป็นสิ่งงดงามและมหัศจรรย์  ทั้งนี้ก็เพราะท่านอาจไม่มีโอกาสได้เห็นหรือได้รับรู้อีก นี่เป็นความรู้สึกทำนองเดียวกับวิลโก้  จอห์นสัน (Wilko Johnson)  นักดนตรีชื่อดังชาวอังกฤษ  ทันทีที่รู้ว่าตนเองเป็นมะเร็ง  แทนที่จะรู้สึกแย่  เขากลับเดินออกจากโรงพยาบาลด้วยความรู้สึกตัวเบาใจฟู

“จู่ ๆ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา  ผมมองต้นไม้  ท้องฟ้า  มองทุกสิ่งทุกอย่างแล้วรู้สึกว่า ‘วิเศษ’ จริง ๆ” เขาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า “สิ่งเล็ก ๆ ทุกอย่างที่เห็น  ลมเย็นทุกสายที่สัมผัสใบหน้า  อิฐทุกก้อนบนถนน (มันทำให้) คุณรู้สึกเลยว่า  ฉันมีชีวิต  ฉันมีชีวิต”

ก่อนหน้านั้นเขาเป็นโรคซึมเศร้า  แต่พอรู้ว่าความตายกำลังรออยู่ไม่ไกล

“ผมรู้สึกเหมือนขนนกที่ปลิวไหวไปตามสายลมและลมก็พัดมากระทบผมอย่างเดียวกัน ในใจผมรู้สึกถึงความอิสรเสรี  เป็นความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมาก”

0
ความตายนั้นหมายถึงการสูญเสียพลัดพรากอย่างสิ้นเชิง  ใครที่คิดถึงแต่ในแง่นั้นย่อมอดเศร้าโศกเสียใจไม่ได้  แต่ในอีกด้านหนึ่งมันทำให้เราเห็นคุณค่าของทุกสิ่งที่เรามีหรือสัมผัสรับรู้  มันจะไม่ใช่สิ่งดาษดื่นในความรู้สึกของเราอีกต่อไปเมื่อนึกถึงวันที่เราจะต้องสูญเสียมันไป

ใช่หรือไม่ว่า  คนเราไม่ค่อยซาบซึ้งถึงคุณค่าของสิ่งที่ตนมี  ต่อเมื่อสูญเสียมันไปแล้วจึงกลับมาเห็นคุณค่าของมัน  ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพ  มิตรภาพ  หรือแม้แต่คนรัก ผู้คนจำนวนไม่น้อยตระหนักถึงความจริงข้อนี้เมื่อสายไปแล้ว  ข่าวดีก็คือ  เราไม่จำเป็นต้องรอให้ความสูญเสียเกิดขึ้นก่อนจึงค่อยเห็นความสำคัญของสิ่งต่าง ๆ ที่เรามี  ความตายเป็นเครื่องเตือนใจอย่างดีให้เราหันมาซาบซึ้งชื่นชมสิ่งเหล่านั้น ก่อนที่จะสายเกินไป แม้แต่สิ่งที่ดูธรรมดาสามัญ  เช่น  ต้นไม้ ท้องฟ้า  และสายลม  จะกลายเป็นความวิเศษมหัศจรรย์ทันที เมื่อเราตระหนักว่าอาจจะได้เห็นและสัมผัสมันเป็นครั้งสุดท้าย

0
ผู้ป่วยด้วยโรคร้าย (รวมทั้งญาติมิตร) จำนวนมากจมปลักอยู่ในความโศกเศร้าหดหู่ เพราะมัวคิดถึงแต่วันที่จะต้องสูญเสียคนรักและสิ่งทั้งปวงที่มี  จนลืมไปว่าวันนี้ชั่วโมงนี้ คนรักและของรักทั้งหลายยังอยู่กับเราไม่ได้หายไปไหน  แทนที่จะหมกมุ่นอยู่กับภาพอนาคตอันเลวร้าย  หากหันมาใส่ใจกับปัจจุบัน  เขาจะทุกข์น้อยลงและมีความสุขมากขึ้น  เพราะนอกจากจิตใจจะซาบซึ้งชื่นชมกับทุกสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันแล้ว  เขายังสามารถใช้เวลาที่มีอยู่อย่างมีคุณค่า  รวมทั้งปฏิบัติกับทุกคนและทุกสิ่งอย่างดีที่สุด  แทนที่คนป่วย (หรือญาติ) จะวิตกกังวลว่าเขาจะอยู่อย่างไร  ก็หันมาใส่ใจทำสิ่งดีที่สุดให้กับเขา  หรือมีความสุขร่วมกับเขาเสียแต่วันนี้ ไม่ปล่อยให้โอกาสทองผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์

โรคร้ายหรือความตายนั้นไม่ใช่สิ่งเลวร้ายที่นำความหดหู่เศร้าหมองมาให้แก่เราเสมอไป  มันสามารถกระตุ้นเตือนใจให้เราเห็นถึงความอัศจรรย์ของชีวิตและความงดงามของสรรพสิ่งได้  ถ้าวางใจเป็น โรคร้ายหรือความตายก็มีประโยชน์อย่างยิ่ง0

“เมื่อรู้ว่าความตายใกล้เข้ามา ฉันให้ความสนใจอย่างมากต่อผีเสื้อ ฉันเบิกบานกับการเฝ้ามองผีเสื้อ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นมัน”

 

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.