พศิน อินทรวงค์ เดินไปสู่ความสุข
พศิน อินทรวงค์ อดีตนักแต่งเพลง ผู้ผันตัวเองมาเป็นนักเขียนหนังสือธรรมะ เจ้าของผลงาน สมถะเท้าขวา วิปัสสนาเท้าซ้าย, ตีตั๋วดูตัวตน, อำนาจพลังจิต, พระพุทธเจ้าสอนเศรษฐี ฯลฯ อะไรทำให้ชีวิตของคนที่ประสบความสำเร็จในทางโลกคนหนึ่งหันมาสนใจธรรมะอย่างจริงจัง
ชีวิตในวัยเด็กของคุณพศิน
ผมเติบโตมากับความขัดแย้งในตัวเอง พ่อผมเป็นวิศวกรที่ชอบทำธุรกิจ ขณะเดียวกันก็สนใจธรรมะมาก พ่อปลูกฝังทั้งสองเรื่องนี้ให้ผม สมัยเด็ก ๆ เคยถามพ่อว่าเป็นวิศวกรกับเป็นพระอรหันต์อย่างไหนดีกว่ากัน พ่อตอบว่าวิศวกรพ่อก็เป็นอยู่ ดีบ้างไม่ดีบ้าง ดังนั้นเป็นพระอรหันต์จึงดีกว่าเพราะเป็นพระอรหันต์แล้วไม่ทุกข์ ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดอีก ได้ยินแล้วผมรู้สึกว่าการเป็นพระอรหันต์น่าจะมีอะไรพิเศษกว่าคนทั่วไป นั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมสนใจธรรมะ
ที่บ้านของผมมีหนังสือเยอะมาก เรียกว่าเป็นห้องสมุดย่อม ๆ ได้เลย หนังสือที่ผมอ่านอย่างจริงจังเป็นเล่มแรกคือสามก๊ก ตอนนั้นอยู่ ป. 2 ที่อ่านไม่ใช่เพราะอยากอ่าน แต่อ่านเพราะอยากได้จักรยาน อ่านเสร็จแล้วไปตอบคำถาม ถ้าตอบถูกพ่อจะซื้อจักรยานให้ สามก๊กจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมอ่านหนังสือคล่อง นอกจากนี้ผมยังได้อ่านหนังสือของนักเขียนเก่ง ๆ อีกหลายท่าน เช่น ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช หลวงวิจิตรวาทการกิมย้ง โกวเล้ง ไปจนถึงหนังสือธรรมะของครูบาอาจารย์ต่าง ๆ เมื่ออ่านแล้วก็มานั่งคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับพ่อพ่อไม่ได้คุยกับผมแบบเด็ก แต่เราคุยกันแบบผู้ใหญ่ ผมจึงเป็นเด็กที่ค่อนข้างโตเกินวัย จนเรียกได้ว่าไม่มีวัยไร้เดียงสาเหมือนเราเป็นผู้ใหญ่ในร่างเด็กน่ะแหละครับ
สิ่งที่ผมสงสัยมาตลอดคือเรื่องของความตาย เมื่อคนเราเกิดมาย่อมต้องตาย ตายแล้วก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แล้วอย่างนี้เราจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร หากว่ากันตามสูตรของการบริหารจัดการ สิ่งไหนที่ทำแล้วได้ผลลัพธ์เป็นศูนย์ ทำแล้วมีค่าเท่ากับไม่ทำ นั่นคือการกระทำที่สูญเปล่า ผมคิดว่าก็คล้ายชีวิตคนเรา เริ่มที่ศูนย์ จบที่ศูนย์ เกิดมาใช้ชีวิตไปสักพักแล้วก็ตาย ถ้าเทียบชีวิตเป็นตรรกะ 1 + 1 ไม่ใช่ 2 แต่เป็น 0 ถ้าอย่างนั้นเราฆ่าตัวตายตอนนี้เลยดีไหมเพราะผลลัพธ์ก็เท่ากัน นี่คือความสงสัยที่ตอบตัวเองไม่ได้ในตอนนั้นแล้วความสงสัยเหล่านี้ส่งผลต่อชีวิตอย่างไรบ้างคะ
ผมกลายเป็นคนทำอะไรสุดโต่ง เหมือนใช้ชีวิตของตนเองเป็นเครื่องมือแสวงหาความจริงบางอย่าง กลายเป็นนักเรียนที่ชอบทำผิดระเบียบ ไปโรงเรียนสาย กลับบ้านดึกเกเรมากจนโรงเรียนเชิญผู้ปกครองไปพบ ถูกทำโทษหน้าเสาธงเป็นประจำ ผลการเรียนออกมาแปลก ๆ เช่น ตอนมัธยมต้นผมได้เกรด 4 เจ็ดวิชา และเกรด 0 เจ็ดวิชา คือวิชาไหนชอบผมจะอ่านหนังสือเป็นสิบ ๆ รอบ ท่องจนขึ้นใจ แต่วิชาไหนไม่ชอบก็ไม่สนใจเลย เรียกว่าไม่มีความพอดีในชีวิต ซึ่งทำให้แม่เป็นห่วงผมมาก แต่การเป็นเด็กมีปัญหาบ่อย ๆ มีข้อดีเหมือนกัน เป็นข้อดีในข้อเสีย เพราะมันสอนให้ผมรู้จักแก้ไขสถานการณ์ ทำให้ผมไม่กลัวปัญหา ไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง
พอขึ้นชั้นมัธยมปลาย ผมไม่ค่อยสนใจเรื่องเรียนเท่าที่ควร เพราะค้นพบว่าตนเองมีความสามารถแต่งเพลงได้เรื่องราวความฝันของผมมันเกิดขึ้นง่าย ๆ วันหนึ่งผมเล่นเพลงที่ตัวเองแต่ง แล้วบันทึกเสียงใส่เทปคาสเส็ท พอเอาไปให้เพื่อนที่โรงเรียนฟัง ปรากฏว่าเพื่อนคนหนึ่งชอบมากถึงขนาดขอยืมเทปกลับไปฟังที่บ้าน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมกลายเป็นเด็กที่ถือสมุดโน้ตไว้ในมือตลอดเวลา คิดอะไรได้ก็จด เวลามองอะไรก็คิดเป็นพล็อตเพลงหมด มีประกวดแต่งเพลงที่ไหน ผมส่งเพลงไปประกวดด้วยทุกที่ บอกตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่ายังไงชีวิตนี้จะต้องเป็นนักแต่งเพลงอาชีพให้ได้
หลังจากเรียนจบมัธยมที่โรงเรียนอัสสัมชัญสมุทรปราการผมเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่เอแบค ช่วงนั้นถือเป็นช่วงเวลาไล่ล่าความฝันของตนเอง นอกจากการแต่งเพลงแล้ว ผมอยากหาเงินใช้เอง จึงคิดทำธุรกิจไปด้วย ยุคนั้นตู้สติ๊กเกอร์บูมมาก ผมจึงสั่งตู้มาจากญี่ปุ่น เป็นตู้ที่ถ่ายภาพได้คมชัดและสามารถแต่งภาพได้ ปรากฏว่าลูกค้าชอบกันมากนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมสามารถหาเงินได้เป็นเรื่องเป็นราว ชีวิตมาเปลี่ยนแปลงอีกครั้งตอนเรียนอยู่ชั้นปี 3 หลังจากทุ่มเทความพยายามมาหลายปี ในที่สุดผมก็ได้เป็นนักแต่งเพลงสมใจ ผมเริ่มต้นทำงานที่บริษัทจีเอ็มเอ็มแกรมมี่จำกัด (มหาชน) มีเงินเดือนประจำ เข้าทำงานอาทิตย์ละ 2 วัน ที่นั่นคือสวรรค์สำหรับผม ได้เจอเพื่อนที่ชอบอะไรคล้าย ๆ กัน ได้ร่วมงานกับศิลปินเก่ง ๆ เช่น พี่ตู่ - นันทิดา แก้วบัวสาย, พี่ก้อย - ศรัณย่า ส่งเสริมสวัสดิ์, วงอินคา และอีกหลายท่าน ผลงานแรกที่ได้บันทึกเสียงคือเพลง “ดอกไม้ของเธอ ความรักของฉัน” ของ คุณนิหน่า - สุฐิตา ปัญญายงค์ช่วงนั้นรู้สึกสนุกกับชีวิตมาก อยากเป็นอะไร อยากมีอะไรก็สมหวังไปหมดทุกอย่าง คณะที่ผมเรียนเป็นหลักสูตร 5 ปีพอขึ้นปี 4 ผมก็ลาออกจากมหาวิทยาลัย เพราะรู้สึกว่าการเรียนในรั้วมหาวิทยาลัยมันไม่ตอบโจทย์ความต้องการของผมเนื่องจากเวลานั้นผมมีเรื่องที่ต้องทำหลายอย่าง
ชีวิตที่สมปรารถนาไปเสียทุกอย่างคงทำให้ช่วงนั้นมีความสุขมากใช่ไหมคะ
ตอนนั้นถ้าใครดูภายนอกจะมองว่าผมมีชีวิตที่ดี พูดง่าย ๆ ว่ามันเป็นชีวิตที่ได้อย่างใจเรา แต่ส่วนตัวแล้วผมไม่ได้รู้สึกว่ามีความสุขอะไรมากมาย ผมยังมีช่วงที่รู้สึกเหงา ขณะที่คำถามในวัยเด็กรุมเร้าเข้ามาเรื่อย ๆ ว่า “เราเกิดมาทำไม”“ชีวิตคืออะไร” “ทำไมผมจึงเป็นผมอย่างทุกวันนี้” ความสงสัยพวกนี้เป็นสิ่งที่ผมไม่ค่อยได้คุยกับใคร เพราะรู้ดีว่าคนที่ได้ยินได้ฟังจะหาว่าไร้สาระ มันอาจเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนอื่น แต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับผม เวลานั้นผมเริ่มสังเกตเห็นว่าตัวเองนอนแค่วันละ 3 - 4 ชั่วโมง กลายเป็นคนที่หยุดความคิดตัวเองไม่ได้ ผมไม่เคยหยุดคิด มันก็เลยนอนไม่หลับ เคยไม่นอนติดกันนานถึง 7 วัน ขณะที่ไม่ได้นอนก็คิดแล้วเขียน เขียนแล้วก็คิด วนเวียนอยู่อย่างนี้ไม่จบสิ้นจนเริ่มกลายเป็นความทุกข์ ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกกลัวความคิดของตัวเองมาก เพราะตระหนักว่าเรากำลังตกเป็นทาสของความคิด และถ้ายังปล่อยให้ความคิดเล่นงานอยู่แบบนี้ ผมอาจตายได้ จึงต้องหาวิธีจัดการกับตัวเองขั้นเด็ดขาด
ทำอย่างไรคะ
ผมเริ่มศึกษาเรื่องความคิด อ่านทุกอย่างที่เป็นปรัชญาจิตวิทยา และศาสนา จำได้ว่าหนังสือธรรมะที่ผมอ่านเล่มแรก ๆ เป็นของท่านพุทธทาส ผมหยิบหนังสืออานาปานสติของท่านมาอ่าน แล้วทดลองทำสมาธิด้วยตนเอง ก็พบว่ามันได้ผล สมาธิช่วยหยุดความคิดของผมได้ นอกจากนี้ยังทำให้ผมมีความคิดที่เฉียบคมขึ้น งานของผมเป็นงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์มาก สมาธิจึงเข้ามามีส่วนสำคัญในการทำงานและชีวิตของผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
หลังจากที่ทำงานเป็นนักแต่งเพลงไปพักใหญ่ เมื่อประมาณสิบกว่าปีก่อน ธุรกิจเพลงเริ่มซบเซา เทปผีซีดีเถื่อนระบาดไปทั่วเมือง ผมจึงลาออกจากแกรมมี่มาเปิดบริษัทส่วนตัว เป็นบริษัทผลิตสื่อประชาสัมพันธ์การตลาด โดยเน้นไปที่การผลิตบทเพลงประจำองค์กร จำได้ว่าสามเดือนแรกติดต่อบริษัทไปเป็นร้อย แต่ไม่มีงานเข้ามาเลย ทุกบริษัทปฏิเสธทั้งหมด ลูกค้าไม่รู้ว่าเพลงประจำองค์กรคืออะไร มีไว้ทำไม และทำไมต้องมี หลังจากปรับเปลี่ยนวิธีการนำเสนออยู่พักใหญ่ ในที่สุดก็เริ่มมีงานเข้ามาในเดือนที่สี่ ความรู้สึกเหมือนคนอยู่กลางทะเลทรายแล้วเจอโอเอซิส ดีใจมาก เพลงองค์กรที่แต่งเป็นเพลงแรกคือเพลงของโรงเรียนกวดวิชาดาว้องก์ จากนั้นก็มีงานติดต่อเข้ามาเรื่อย ๆ บางเดือนมีงานเข้ามาเยอะจนแต่งเพลงแทบไม่ทัน ถือเป็นช่วงชีวิตที่ผมตั้งตัวได้สำเร็จ ตอนนั้นอายุประมาณ 26 - 27 ปี แต่มีบ้านมีรถยนต์ มีเงินเก็บ และมีบริษัทเป็นของตัวเอง
จุดเปลี่ยนที่ทำให้ได้มาเป็นนักเขียนคืออะไรคะ
หลังจากเปิดบริษัทมาได้ประมาณสามปี ผมมีโอกาสไปบวชเรียนที่จังหวัดพัทลุง แม้เพียงระยะเวลาสั้น ๆ แต่ก็ทำให้ผมตกผลึกทางความคิดหลายอย่างเกี่ยวกับชีวิตตัวเองผมอยากมีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น เพราะก่อนหน้านั้นทำงานเยอะมาก คิดอยากจะเขียนหนังสือเป็นเรื่องเป็นราว รู้สึกว่าการเขียนหนังสือเป็นงานที่สนุก ทำแล้วมีความสุข เราสามารถอยู่กับการทำงานตรงนี้ได้นานโดยไม่รู้สึกเบื่อ อีกอย่างหนังสือเป็นเครื่องมือช่วยเหลือคนอื่นได้ ที่สำคัญ ผมชอบวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของนักเขียน แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนทำอะไรได้ทีละอย่าง พอทำงานเขียนไปสัก มีงานเพลงเข้ามาก็ต้องพักงานเขียนไว้ก่อน เป็นอย่างนี้ตลอด เขียน ๆ หยุด ๆ มีผลงานออกมาบ้าง แต่ก็ไม่ต่อเนื่อง จึงตัดสินใจเด็ดขาดที่จะพักงานแต่งเพลงทั้งหมด แล้วมาทุ่มเวลาให้กับการทำงานเขียนหนังสืออย่างจริงจัง
ผมเขียนตารางชีวิต แล้วเริ่มต้นใช้ชีวิตตามตาราง ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ทำสมาธิก่อนแล้วจึงออกไปวิ่งตอนตีห้า จากนั้นอาบน้ำ รับประทานอาหาร พอเก้าโมงเริ่มนั่งลงที่โต๊ะทำงานเขียนงานไปเรื่อย ๆ บ่ายโมงพักกินข้าว เสร็จแล้วทำงานต่อจนถึงห้าโมงเย็น ผมทำอย่างนี้ทุกวันเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม จนผลิตต้นฉบับออกมาได้เกือบสิบเล่ม จากนั้นก็มีงานเขียนทยอยออกมาเรื่อย ๆ ปีละ 6 เล่ม ทุกวันนี้นอกจากงานเขียนก็มีองค์กรต่าง ๆ ติดต่อให้ไปเป็นวิทยากรเสมอ ๆ
ธรรมะสอนอะไรคุณพศินบ้าง
ธรรมะสอนให้ผมรู้ว่าชีวิตเป็นของชั่วคราว เราแต่ละคนถือเวลาไว้แค่คนละ 1 วินาทีเท่านั้น เมื่อเวลาผ่านไป ทั้งหมดก็กลายเป็นอดีต อนาคตคือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แล้วทำไมมนุษย์ยังชอบวางแผนต่าง ๆ ไว้ล่วงหน้า ผมเคยเป็นคนชอบวางแผนล่วงหน้าห้าปี สิบปี ว่าชีวิตของฉันจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ตอนนี้ไม่แล้ว เพราะเข้าใจแล้วว่าความเปลี่ยนแปลงคืออะไรเราวางแผนได้ แต่เราต้องบอกตัวเองด้วยว่าความเปลี่ยนแปลงอาจเข้ามาทักทายเราได้ทุกเมื่อ และมันจะมาแน่
วันหนึ่งผมอาจกลายเป็นคนพิการ เป็นมะเร็ง หรือเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอื่นก็ได้ ทุกอย่างเกิดขึ้นได้หมดสิ่งเดียวที่ทุกคนมีคือเวลาในปัจจุบัน วินาทีต่อวินาที แค่หายใจเข้า หายใจออก สิ่งที่เป็นของจริงมันมีอยู่เท่านี้ ไม่ว่าจะมีความต้องการมากไปกว่านี้แค่ไหน แต่ธรรมชาติให้เราได้เพียงแค่นี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงให้ความสำคัญกับอานาปานสติมาก เพราะท่านต้องการให้เราตื่นจากฝัน แล้วใช้ชีวิตอยู่กับหนึ่งวินาทีที่เป็นของเราจริง ๆ
การมีมุมมองเรื่องความแน่นอนคือความไม่แน่นอน ส่งผลให้มุมมองด้านความรักของเราต่างจากคนอื่นๆ บ้างไหมคะ
ทุกวันนี้ผมก็มีภรรยามีครอบครัวแล้ว การมองเห็นธรรมะไม่ได้ทำให้ความรักของผมแตกต่างไปจากคนอื่น ยังมีความรู้สึกร้อน หนาว หิว เหนื่อย เพียงแต่ผมตระหนักว่าสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ของจีรังยั่งยืนอะไร ทั้งสุขและทุกข์ล้วนเหมือนกัน มีช่วงเวลาผ่านมาและผ่านไป การมีมุมมองว่าทุกอย่างเป็นเรื่องชั่วคราวไม่ได้สร้างปัญหาอะไรในความสัมพันธ์ อย่างครอบครัวของผม เราจะพูดคุยกันด้วยหลักแห่งความจริงที่ว่า “ชีวิตคือเรื่องชั่วคราว” เรามาพบกันเพียงชั่วคราว ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เราต้องทำไม่ดีใส่กันและผมจะมองดูทุกอย่างแบบที่พระพุทธเจ้าทรงสอน คือโยนิโสมนสิการ ได้แก่ การมองด้วยปัญญา เห็นว่าทุกอย่างพาไปสู่กฎไตรลักษณ์ มีเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ดังนั้นไม่ว่าผมจะอยู่กับใคร ผมจะไม่มีภาวะบีบคั้น กดดัน ทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง เพราะเราเข้าใจว่าทุกคนก็คือชั่วคราวไม่ต่างอะไรจากตัวเรา
มีคำแนะนำสำหรับคนที่อยู่ในสังคมวัตถุนิยมให้ละกิเลสบ้างไหมคะ เพราะคงไม่ใช่เรื่องที่ทำได้ง่ายสักเท่าไรนัก
ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าธรรมชาติของจิตนั้นต้องการความสุข จิตอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีความสุข ความสุขมีด้วยกันห้าระดับ ได้แก่ ความสุขทางกาย ความสุขทางใจ ความสุขจากสมาธิ ความสุขจากการกำหนดรู้ตามจริง และความสุขจากวิมุติหรือการหลุดพ้น
สองระดับแรกเป็นความสุขในชั้นหยาบ เป็นความสุขที่ยังต้องอาศัยปัจจัยภายนอก อำนาจของวัตถุนั้นมีผลกับความสุขในสองระดับนี้แน่นอน ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม ส่วนความสุขในสามระดับหลังเป็นความสุขในชั้นละเอียดที่อำนาจวัตถุเข้าไปไม่ถึง เพราะเป็นความสุขที่ปะทุจากภายใน เป็นความสุขที่ไม่ยึดโยงอยู่กับสิ่งภายนอกทั้งรูปและนาม
เมื่อจิตไม่มีศักยภาพพอจะหาความสุขในชั้นละเอียดมันก็จำเป็นต้องมีความสุขในชั้นหยาบไปก่อน เหมือนคน
ที่ไม่มีเงินกินของแพงก็ต้องกินของถูกไปก่อน ไม่อย่างนั้นเขาก็อยู่ไม่ได้ ดังนั้นวิธีที่เราจะทำให้คนในสังคมลดค่านิยมทางวัตถุลงไป จึงไม่ใช่การพยายามไปบอกว่าวัตถุเป็นสิ่งไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ต้องแทนที่ความสุขของเขาด้วยความสุขที่ละเอียดกว่านั้น ต้องเปิดโอกาสให้เขามาเรียนรู้หลักธรรมต่าง ๆ รวมถึงการวิปัสสนา ซึ่งเป็นวิธีที่จะเข้าไปช่วยเปลี่ยนสภาพจิตใจอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ถึงตอนนั้นจิตที่มีสติปัญญาก็จะทิ้งความสุขแบบหยาบไปเอง
กิเลสในใจคนเหมือนสิงโต เมื่อใดที่สิงโตถูกขังและไม่ให้อาหารมันเพิ่ม พลังของมันก็จะร่อยหรอลงไป การปฏิบัติเพื่อละกิเลสเบื้องต้นคือการไม่ตามใจตัวเอง พระพุทธเจ้าทรงใช้คำว่าทวนกระแสกิเลส คือไม่ตามใจความอยากซึ่งรวมถึงอยากดีและไม่ดี เช่น อยากได้เสื้อผ้าสวย ๆ ก็ไม่ซื้อแรก ๆ อาจทรมานใจ แต่นาน ๆ ไปเราจะเกิดความสุขใจว่าเราละได้ ต้องค่อย ๆ พยายามละจากสิ่งหยาบ ๆ ภายนอกก่อนหลวงปู่มั่นเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าเราต้องการความสุขในชั้นละเอียดกว่า เราต้องละชั้นหยาบให้ได้ก่อน” นั่นหมายความว่าเมื่อคุณเดินห่างออกจากฝั่งโลกียะมากเท่าไหร่ ก็เท่ากับคุณเข้าใกล้ฝั่งโลกุตตระมากขึ้นเท่านั้น
เป้าหมายในชีวิตต่อจากนี้คืออะไรคะ
พระพุทธศาสนาของเรามีคำคำหนึ่งที่น่าสนใจ คือคำว่า “สันโดษ” แปลว่าความพอใจ สิ่งนี้ทำได้ยากมาก เพราะความพอใจคือขั้วตรงข้ามกับคำว่าความอยาก ถ้าเป็นไปได้ผมอยากใช้ชีวิตเดินไปให้ใกล้กับคำคำนี้ให้มากที่สุด นั่นคือเป้าหมายภายใน ส่วนเป้าหมายภายนอก ผมตั้งใจจะเขียนหนังสือต่อไปเรื่อย ๆ เพราะงานเขียนเป็นงานที่ผมรัก แม้วันข้างหน้ากลายเป็นมหาเศรษฐีก็ยังเลือกที่จะเขียนหนังสืออยู่ ผมตั้งใจว่าจะจับหลักธรรมที่เป็นแก่นมาเขียนมากขึ้นแต่จะสร้างงานเขียนที่มีจิตวิญญาณของความเป็นสากล คืออ่านแล้วไม่รู้ว่าเป็นงานเขียนที่อยู่ในกรอบของศาสนา เพื่อให้คนต่างศาสนานำหลักธรรมของพระพุทธเจ้าไปใช้ได้อย่างไม่เคอะเขิน
เคยมีผู้อ่านท่านหนึ่งแต่งกายในชุดสุภาพสตรีมุสลิมหยิบหนังสือ ตีตั๋วดูตัวตน ขึ้นมา แล้วถามว่า “นี่คือหนังสือที่เกี่ยวกับศาสนารึเปล่า” ผมตอบว่า “ไม่ใช่ มันคือหนังสือเกี่ยวกับการพัฒนาตนเอง” ไม่กี่วันต่อมาเธอส่งข้อความเข้ามาขอบคุณ และบอกว่าเธอชอบหนังสือเล่มนี้มาก และยังซื้อเพิ่มอีกหลายเล่มเพื่อนำไปแจกเพื่อน
ผมถือว่าตัวเองเป็นหนึ่งในบุคคลที่โชคดีที่สุดในโลกหนึ่ง ผมได้รู้แล้วว่าชีวิตคืออะไร และจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรสอง ผมได้ทำในสิ่งที่ตนเองรักและมีคนเห็นคุณค่าของสิ่งที่ผมทำ สาม ผมมีฐานะและความสบายกายตามอัตภาพไม่เดือดร้อนเงินทอง สี่ ทุกคนในครอบครัวรักและดูแลผมเป็นอย่างดี ห้า ผมคบความเปลี่ยนแปลงเป็นเพื่อน เราสนิทกันมากและเพื่อนคนนี้ก็ไม่มีวันทิ้งผมไปไหน นับข้อดีของชีวิตได้ตั้งห้าข้อ ถ้ายังไม่พอใจกับชีวิตอีกผมก็คงเป็นคนที่โลภมากเกินไป
เขาเป็นอีกคนหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า “ตราบใดที่ดำเนินชีวิตอย่างมีสติและมีธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นเป็นที่พึ่งชีวิตของเราก็ย่อมพบทางออกที่ดีเสมอ”
เรื่อง สุญญตา ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี สไตลิสต์ ณัฏฐิตา เกษตระชนม์
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
10 เรื่องเกี่ยวกับความคิดที่สำคัญสุดๆ แต่แทบไม่มีใครรู้!!! โดยคุณพศิน อินทรวงค์
ดับความโกรธ เกลียดด้วยการเจริญเมตตา โดย หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช