“พี่ ๆ ผมยืมหน่อยนะ!”ทันทีที่เห็นหน้าคนที่วิ่งเข้ามาผมก็รีบไปยืมเหล็กแท่งยาวจากอู่ซ่อมรถข้างทาง ก่อนจะวิ่งโร่เข้าไปตีกับเด็กอีกโรงเรียนเจ็บไหมไม่รู้ แต่ถ้าผมไม่สู้ ก็โดนตีนเขาน่ะสิครับ!
การโดดเรียน ตีกัน เป็นแค่ส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันช่วงที่ผมยังเด็ก อีกส่วนคือการเป็นมือปืนรับจ้าง รับแทงสนุ้กให้เจ้ามือ และเล่นพนันจนได้สตางค์มาซื้อของเล่นมากมาย
การพนัน เป็นเรื่องปกติสำหรับผมเพราะพ่อ - แม่ผมเป็นเจ้ามือหวย ส่วนที่บ้านทำธุรกิจขายแก๊สแสนซอมซ่อ ตอนเด็ก ๆ ผมรู้สึกว่าที่บ้านไม่ค่อยมีสตางค์ กว่าจะรู้ว่าบ้านของตัวเองมีเงินก็ตอนที่บ้านโดนพิษเศรษฐกิจปี 40 ธุรกิจล้มละลายจากสาเหตุที่พ่อแม่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซื้อมาขายไป หมดเงินไปกับที่ดินนับสิบล้าน และหมดตัวกันทั้งบ้าน
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน เพื่อทำงานหาเงินส่งน้องเรียน ซึ่งบังเอิญมีคนช่วยฝากผมเข้าทำงานในบริษัทจิเวลรี่แห่งหนึ่ง ทำหน้าที่รับ - ส่งของหรือเอกสารไปตามที่ต่าง ๆ โชคดีที่ผมได้รับความเอ็นดูจากรุ่นพี่คนหนึ่งเป็นพิเศษจนได้ติดสอยห้อยตามเขาไปไหนมาไหนด้วยกัน
…แม้แต่ในวงไพ่!
การเล่นไพ่ในวงผู้ใหญ่ทำให้ผมได้เงินมาเป็นกอบเป็นกำ เพราะในการเล่นแต่ละครั้งผมจะติดเงินใส่กระเป๋าไม่มาก เงินหมดก็หยุดเล่น แต่ถ้าเล่นได้ เงินสี่ห้าหมื่นก็จะโบยบินเข้ามาสู่กระเป๋า ดังนั้น สำหรับผม การเล่นไพ่จึงเป็นธุรกิจที่ “ลงทุนน้อยแต่กำไรมาก”…ดังนั้นยิ่งเล่นผมจึงยิ่งใช้เงินมากขึ้น จากทีละร้อยก็เริ่มลงทีละพัน…ทีละหมื่น
ช่วงนั้นส่วนมากผมจะเล่นได้มากกว่าเสีย เนื่องจากเล่นกับผู้ใหญ่ เวลาที่เสียผมทำอะไรไม่ได้นอกจากเตะโต๊ะเตะเก้าอี้เอามือปัดเงินให้กระจุยกระจาย ระบายอารมณ์โกรธเท่านั้น
ผมมั่นใจว่า ณ ตอนนั้นผมไม่ได้ติดพนัน แต่ติด “เงิน” ที่ได้จากการพนันต่างหาก…แน่ละสิ ใครจะไม่อยากได้เงินบ้างล่ะ!!!
หลังทำกำไรกับการเล่นไพ่มาสองปีผมก็เริ่มขยับขยายไปหาเงินด้วยวิธีอื่น…อย่างเล่นพนันบอล!
ผมเริ่มจากการเป็นผู้เล่น…ได้บ้างเสียบ้าง ความรู้สึกบีบหัวใจในช่วงที่ลุ้นผลบอลส่งผลให้ผมก้าวเข้ามาในวงการนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ จนตัวเองเริ่มกลายเป็น “โต๊ะบอล” ขึ้นมา
ผมจัดการชักชวนคนรู้จักรอบข้างให้มาเล่นบอลที่โต๊ะ พอคนมามากเข้า จากเป็นคนเล่น ผมเปลี่ยนมาเป็นคนส่งโพยและเงินให้พวกโต๊ะใหญ่ ๆ แทน เพราะคนเล่นยังมีสิทธิ์เสีย แต่คนส่งผลส่งเงินน่ะได้เงินเน็ต ๆ ครับ อาศัยแค่หนังสือพิมพ์ปากกา กระดาษ และโทรศัพท์ สำหรับใช้เพื่อติดต่อลูกค้า (ขาพนัน) และโต๊ะบอลเท่านั้น เท่านี้ก็ได้เงินแล้ว!
ช่วงเวลานั้น น้องผมกำลังเรียนหนังสืออยู่ชั้นมัธยม ผมมองเห็นลู่ทางทำกินใหม่เลยบอกให้น้องชวนเพื่อน ๆ มาเล่นด้วยกันโดยให้น้องมาเป็นขาของผมอีกทีหนึ่ง และแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้น้องเป็นค่าขนม
ลูกค้าของผมส่วนมากจะเริ่มเล่นตั้งแต่วันศุกร์… คู่ละหมื่น ไปจบเอาวันเสาร์คู่ละห้าแสน จนถึงล้าน คนส่วนมาก พอเล่นเสียก็มักทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้เงินคืนมา บางครั้งก็ทุ่มเงินก้อนใหญ่หวัง “ถอนทุน” แต่ขึ้นชื่อว่าการพนัน ใครมันจะได้คืนกันล่ะครับ…
“คุณยังอยากเก็บชีวิตลูกคุณไว้ไหม…”
คลิกเลข 2 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
นี่เป็นคำถามติดปากที่ผมมักถามพวกพ่อแม่ของเด็ก ๆ ที่เล่นเสีย บางครั้งผมก็ไปดักรอหน้าบ้านของเด็กที่หนีหนี้พอผมเห็นมัน ผมก็จะลากคอมันเข้าซอกตึก แล้วกระซิบที่ข้างหูว่า “กูรู้จักบ้านมึงแล้วนะ…” จากนั้นก็ปล่อยให้เด็กจินตนาการต่อไปเองว่า ผมจะทำ “อะไร” ถ้ามันไม่จ่ายเงินคืน…
หลังจากผมทำโต๊ะบอล วิถีชีวิตคนในบ้านก็เปลี่ยนไป ผมมีเงินจุนเจือครอบครัวมากขึ้น และเป็นคนจ่ายค่าเทอมให้น้อง ๆในขณะเดียวกัน พอเห็นผมมีเงินมากเข้าพ่อที่ตอนแรกเล่นบอลไม่เป็น ก็เริ่มเล่นหวังได้เงินก้อนใหญ่ พอเล่นด้วยความโลภ ผลที่ได้จึงมีแต่เสีย เสีย และเสีย
พอถึงช่วงเวลาที่บอลมา ผีพนันจะเข้าสิงคนที่เล่น พ่อเริ่มเปลี่ยนเป็นคนละคนลงเงินพนันคู่ละหมื่นสองหมื่น ทั้งที่ตัวเองแทบไม่มีจะกิน ตอนนั้นทั้งบ้านเริ่มร้อนไม่มีใครฟังใคร วันไหนที่ผมโมโหพ่อมาก ๆที่เอาเงินไปทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ผมก็มักจะปาของลงพื้นให้พ่อรู้ว่าไม่พอใจ ก่อนจะออกมาระบายอารมณ์นอกบ้าน
ส่วนน้องของผม ก็ดันเห็นผมเป็นไอดอล เดินตามผมมาเล่นพนันบอลเหมือนกัน ไม่เคยคิดหรอกว่าสิ่งที่พี่ตัวเองทำดีหรือไม่ดี เพราะในสายตาของน้อง คนมีเงิน…ถูกเสมอ
จนกระทั่งผมเริ่มเห็นชีวิตของคนรอบข้างพังลง โดยที่ผมมีส่วนเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างรุ่นพี่คนหนึ่งรักเมียมากและมีฐานะมั่นคง ทั้งยังมีชื่อในวงการอัญมณี แต่ตอนหลังผมชวนเขามาเล่นบอล จากคู่ละห้าพันเขาเริ่มเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนมีหนี้ พอเริ่มเป็นหนี้ เขาก็เริ่มไปโกงเพชรพลอยเพื่อเอาเงินมาหมุนจ่ายหนี้
เพียงสามเดือนเท่านั้น จากผู้ชายที่เพียบพร้อมกลับกลายเป็นคนหนีหนี้ ทิ้งเมียที่กำลังท้องไว้ที่บ้าน แถมยังถูกไล่ออกจากงาน เพราะถูกเจ้านายจับได้ว่าโกงบริษัท
ถามว่าผมรู้สึกผิดบ้างไหมที่ทำลายชีวิตใครไป…ไม่เลยสักนิดครับ พวกเขาทำตัวเองต่างหาก!
เมื่อพบเห็นชีวิตของคนพวกนี้มากเข้าบวกกับคนในบ้านเริ่มเพี้ยนไปตาม ๆ กันสุดท้ายผมก็ตัดสินใจล้มโต๊ะบอล หันมาทำอย่างอื่นแทน
“อย่างอื่น” ที่ว่าคือ ขนเพชรพลอยหนีภาษี…
รุ่นพี่คนที่ชวนผมเข้าวงการพนันนั่นแหละพาผมไปซื้อพลอยที่เมืองจีน ไปทีขนเงินเป็นสิบล้านใส่กระเป๋ากางเกงตัวโคร่ง ก่อนจะไปซื้อพลอยในเหมือง และขนพลอยใส่ช่องลับของเสื้อผ้ากลับมา
ชีวิตในเมืองจีนช่วงนั้นจะเรียกว่าสบายก็สบายราวกับเจ้าพ่อ ใช้เพียงแค่หางตาก็สั่งคนได้ มีคนพร้อมให้บริการมากมายอยากได้อะไรก็ได้ ในขณะเดียวกันก็อันตรายไม่ใช่น้อย เพราะมีการขัดผลประโยชน์กันระหว่างผู้ขายเพชรด้วยกันเอง พวกผมจึงต้องมีบอดี้การ์ดคุ้มกันตลอดระยะเวลาที่อยู่เมืองจีน
จนกระทั่งช่วงหลัง ๆ กลุ่มผู้ขัดผลประโยชน์เริ่มทะเลาะกันรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆถึงขั้นเอาขวานหรือมีดมาฟันกันจนเลือดสาดครั้งหลังสุด รุ่นพี่ของผมโดนหิ้วปีกเข้าซังเตที่เมืองจีนต่อหน้าต่อตาผม ผมจึงตัดสินใจลาขาดจากอาชีพนี้ แล้วหันมาทำอาชีพใหม่คือ เปิดร้านเกม…
ร้านผมอยู่แถว ๆ สถานีรถไฟหัวลำโพงเปิดเที่ยงวันยันเที่ยงคืน มีเด็กจรจัดมาใช้บริการเป็นจำนวนมาก บางคนมาคุยอวดให้ผมฟังว่า เพิ่งมีฝรั่งไปอ๊อฟเขามา ทำให้มีเงินมาเล่นเกม
ถามว่า รู้อย่างนี้แล้ว ผมยังรับเงินเขาไหม…โธ่ รับสิครับ ถ้าไม่มีเงินแล้วจะเอาอะไรกิน!
เด็กจรจัดแถบนี้ค่อนข้างน่าสงสารเพราะมักจะถูกเด็กสลัมกลั่นแกล้ง บางครั้งก็มาตีกันในร้านของผม ทำให้ผมต้องออกหน้าปกป้องอยู่บ่อย ๆ (ไม่ปกป้องได้ยังไง เขาเป็นแหล่งเงินผมนี่!) ครั้งหนึ่งผมทนไม่ไหวเลยชกโป้งเข้าที่หน้าเด็กสลัมจนบวมปูดเลยเป็นเรื่องขึ้นมา….
เด็กสลัมคนนั้นขนคนมาแทบทั้งซอยพร้อมปืนและไม้หน้าสาม คงตั้งใจจะพังร้านผมให้ราบคาบ เพราะผมไปเปิดร้านเกมใน “ถิ่น” เขา แต่ดันไปทำกร่างชกหน้าเด็กเขาซะงั้น!
“ใครจะทำอะไรลูกกู!” ตอนนั้นแม่ผมเหมือนซูเปอร์ฮีโร่ พอเห็นคนมารุมผมมาก ๆ ก็จัดการลากแป๊บเหล็กมายืนข้าง ๆเตรียมเป็นกำลังเสริมให้ผมทันที
คลิกเลข 3 ด้านล่าง เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ช่วงเวลานั้น เหงื่อที่ขมับผมเริ่มไหลลงมา ความกลัวเริ่มเข้ามาเกาะในจิตใจใจหนึ่งก็กลัวโดนรุมกระทืบ อีกใจก็กลัวร้านเกมโดนทำลาย ต้องเสียเงินซ่อมใหม่อีก แถมสองชีวิต (ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นคนแก่) จะไปสู้อีกยี่สิบชีวิตที่กำลังโกรธได้ยังไง…
โชคดีที่ยังไม่ถึงเวลาตายของผม เรื่องจึงจบลงโดยผู้ใหญ่ในถิ่นนั้นมาช่วยเคลียร์ให้ส่วนผมตัดสินใจปิดร้านเกม เพราะชีวิตเริ่มไม่ปลอดภัย
ในที่สุดผมก็เริ่มทำธุรกิจถูกกฎหมายกับเขาบ้าง ธุรกิจนั้นคือการ…ขายเหล้าขาว เหตุเพราะรัฐบาลใจดีเปิดเสรีให้ชาวบ้านทำขายได้ ผมจึงทำเอง กลั่นเองทุกขั้นตอน! น่าเสียดายที่ดันเจ๊งไม่เป็นท่า พอ ๆ กับการทำธุรกิจอื่น ๆ ที่เจ๊งกะบ๊งเช่นกัน ด้วยนิสัยแข็งกระด้าง ไม่ยอมคน และเอาประโยชน์เข้าตัว เอาเงินเข้ากระเป๋าของผม ทำให้ผมไม่ยอมใคร บางครั้งถึงกับยืนด่าคนที่ยืมเงินผมไป กะให้เขาอาย จนโดนเอาปืนไล่ยิงหนีตายแทบไม่ทัน
ชีวิตของผมเริ่มจะสุขสงบมากขึ้นหลังจากเปลี่ยนมาทำอาชีพสุจริต (จริง ๆ!) อย่างการทำแฟรนไชส์ชานมไข่มุก อาชีพที่ผมไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง คอยหวาดกลัวว่าจะถูกจับเข้าซังเตเมื่อไร
ในระหว่างที่ผมกำลังเริ่มต้นทำอาชีพนี้ชีวิตของผมก็พลิกอีกครั้ง เมื่อผมมีโอกาสได้พบผู้ที่เรียกผมว่า “ไอ้สารเลว!”
คนที่เรียกผมเช่นนี้คือ พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ ซึ่งผมมีโอกาสบวช และได้รับประสบการณ์ที่ล้ำค่าจากท่าน (ใครอยากทราบว่าเรื่องราวการบวชของผมเป็นอย่างไร ต้องติดตามในหนังสือ ๑ พระอาจารย์ ปราบ ๑๐ มารในคราบเซียน กันเอาเองนะครับ)
ท่านอธิบายว่า “สารเลว” ในที่นี้หมายถึง “เลวอย่างมีสาระ คนแบบนี้ดูเหมือนเลว แต่จริง ๆ แล้วต้องทำเลวเพราะต้องเลี้ยงพ่อแม่ ส่งน้องเรียน” ผมฟังแล้วก็อดยืดอกไม่ได้
…อย่างน้อยถึงจะเป็นคนเลว ก็เลวอย่างมีสาระละกันวะ…
หลังจากผมสึกออกมา ชีวิตที่สุขสงบอยู่บ้างก่อนหน้านี้ก็ยิ่ง “สงบ” และ “สุข”มากขึ้นกว่าเดิม เพราะผมรู้แล้วว่าสิ่งไหนดีไม่ดี ควรทำ หรือไม่ควรทำ ดังนั้น หากมีสิ่งไม่ดีเข้ามา แม้ว่าจะทำให้ผมมีเงินในธนาคารเพิ่มมากขึ้นสักแค่ไหนก็ตาม ผมก็จะไม่ทำอีกต่อไป เป็นการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ไม่เพียงแต่เฉพาะกับตัวผม แต่ยังรวมถึงทุกคนในครอบครัวผมด้วย
…ใครอยากทำได้อย่างผม ก็ต้องมาลองเดินทางเดียวกับผมดู แล้วคุณจะรู้ว่ามันไม่ยากอย่างที่คิดหรอกครับ…
พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ
อาตมาเรียกเขาว่า “คนสารเลว” หมายถึงเลวอย่างมีสาระ คือ เลวเพราะต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ถึงทำตัวแย่ก็ยังมีส่วนดี ทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวได้อยู่สบาย คนแบบนี้ต้องพามาดัดสักหน่อย พาเข้าหาทางธรรมเพื่อให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เมื่อเข้าใจว่าสิ่งใดคือสิ่งที่ถูกต้อง ก็จะสามารถเปลี่ยนตัวเองได้
คนประเภทนี้เป็นพวกมีปัญญา แต่ใช้ปัญญาผิดทาง เป็นมิจฉาทิฏฐิและดื้อ อาตมาจึงสอนเขาโดยให้เขาได้เจอประสบการณ์ตรง เพราะห้ามไปก็ไร้ประโยชน์ สอนไปก็ไม่ทำตาม ถ้าไม่ได้เห็นประโยชน์และโทษด้วยตัวเอง ดังนั้นเขาจะทำอะไร ก็ให้เขาทำไปเลยแบบฟรีสไตล์ อาตมาก็พาเขาไปทำสิ่งต่าง ๆ ให้เขาได้บทเรียน เช่น พาไปว่ายน้ำในที่ที่น้ำเชี่ยว เมื่อเขาได้เรียนรู้ด้วยตัวเองแล้ว ในที่สุดเขาก็จะกลับมายืนอยู่ในร่องในรอยและทำในสิ่งที่ถูกได้ด้วยตัวเอง
เรื่อง คุณป๊อก - กิตต์ธิเชษฐ์ องอาจเจตน์ เรียบเรียง ณัฐนภ ตระกลธนภาส ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี