ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนาของอ๊อด - รณชัย  ถมยาปริวัฒน์ (2)

หลังจากเรียนจบ ม.ศ. 3 ในสมัยนั้นแล้วผม (อ๊อด - รณชัย  ถมยาปริวัฒน์) กับหมูซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนเก่งที่สุดในโรงเรียนก็สอบเข้าเรียนต่อได้ที่วิทยาลัยเกษตรกรรมเจ้าคุณทหาร(ปัจจุบันคือคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)ส่วนเพื่อนคนอื่นในโรงเรียนสอบไม่ติด

ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร  รู้แต่ว่าเมื่อสอบติดแล้วก็ไปเรียนวิชาที่เรียนต้องถือจอบขุดดิน  ทำแปลงเกษตรขนาด 1 × 6 เมตร  4 แปลง  แล้วต้องเลี้ยงหมูจับหมูฉีดยา  เวลาจะฉีดแต่ละทีผมก็ต้องใช้ขาล็อกคอหมู  แล้วให้เพื่อนอีกคนฉีดยา เชื่อไหมว่า  เวลาขึ้นรถเมล์ ผมต้องยืนตรงบันไดเพราะตัวเหม็นมาก  ขนาดเด็กนักเรียนผู้หญิงเดินผ่าน  ต้องเอามืออุดจมูกโดยอัตโนมัติ  ไม่กลัวว่าเราจะเสียหน้าเลย  เมื่อขึ้นปี 2  ผมกับเพื่อนก็เริ่มมานั่งคิดกันว่าสิ่งที่เราเรียนใช่สิ่งที่เราชอบหรือเปล่า  เมื่อไม่ใช่แน่แล้ว  เราสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ใหม่ในปีนั้นหมูติดเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  ส่วนผมติดเศรษฐศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  ทั้งที่เลือกนิเทศศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง  แต่สอบไม่ติด

ชีวิตปี 1 ในมหาวิทยาลัยของผมตอนนั้นมาพร้อมกับชื่อเสียงในฐานะนักร้อง เพราะเริ่มเข้าห้องอัดทำอัลบั้มเรียบร้อยแล้ว  จากผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งผมก็เพิ่งได้เห็นว่าความดังเป็นอย่างไร  และเป็นความดังที่เกือบทำให้ผมขาดใจตายเลยทีเดียว!

ก้าวแรกในวงการดนตรี  

ผมเริ่มดีดกีตาร์และฝึกแต่งเพลงมาตั้งแต่เรียน ป. 7  โดยเริ่มจากการเล่นเพลงของนักร้องวงดัง ๆ ในยุคนั้นที่เราชอบ  เช่นวงอิสซึ่น (Isn’t),  อัสนี - วสันต์,  ชัยรัตน์เทียบเทียม,  วงชาตรี,  วงดิ อิมพอสซิเบิ้ลเวลามีประกวดร้องเพลงที่ไหน วงของผมที่มีพี่ชายกับญาติข้างบ้านก็จะเข้าแข่งขันเหมือนวัยรุ่นยุคนี้ที่เข้าประกวดร้องเพลงเอเอฟ (อะคาเดมีแฟนเทเชีย) หรือเดอะวอยซ์นั่นแหละ

แล้ววันหนึ่ง  รายการเพลงทางวิทยุรายการหนึ่งก็ประกาศเฟ้นหานักร้องหน้าใหม่ด้วยการให้ส่งเดโมเทปเข้าไปในรายการ  ผมกับเพื่อนร่วมวงก็ทำไปส่ง  บังเอิญ คุณหนึ่งซึ่งตอนหลังคือคนที่ชักนำผมเข้าสู่ทางสายดนตรีได้ฟังเพลงของพวกเรา  เขาถูกใจเสียงร้องของผมและชอบเพลงที่แต่ง  เลยชวนให้ไปเข้าห้องอัด  ทั้งที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะได้อยู่ค่ายเพลงไหน  แต่ที่สุดเขาก็ดูแลจัดการจนเราได้ไปอยู่ค่ายอาร์เอส  ในยุคเดียวกับชมพู  ฟรุตตี้,  อ๊อด  บรั่นดี  ในขณะที่แกรมมี่ตอนนั้นมีสาว  สาว  สาว,  แมคอินทอช  และดิ  อินโนเซ้นต์

ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะหน้าตาอย่างนี้ดังมาได้ก็บุญโขแล้วมิหนำซ้ำตอนที่รู้ว่าตัวเองดัง  ผมก็แทบขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว

เหตุเกิดขึ้นในวันที่ผมไปเล่นฟรีคอนเสิร์ต  รายการ โลกดนตรี  ที่สถานีกองทัพบกช่อง 5  เมื่อขึ้นเวที เล่น ๆ ร้อง ๆไปเราก็ไม่รู้หรอกว่าผู้ฟังด้านล่างเวทีที่เป็นเด็กวัยรุ่นเขาชื่นชอบเรา  เราคิดแค่ว่าทำสิ่งที่รักที่ชอบเท่านั้น  เล่นเสร็จฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ไม่ได้ดูแลอะไรเรามากเพราะไม่รู้ว่าไอ้เด็กนี่วงอะไร  เขาก็เลยปล่อยสักพักก็มีแฟนเพลงผู้หญิงจับกลุ่มกันแล้วค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาหาผม  สมัยก่อนสื่อไม่ได้มีมากเท่าปัจจุบันนี้  ส่วนใหญ่แฟนเพลงจะรู้จักเราผ่านวิทยุ  แล้วค่อยมาเห็นตัวจริง พอเห็นตัวจริง  เขาก็เลยอยากพูดคุย  ขอลายเซ็น

เวลาผ่านไป  แฟนเพลงหลายกลุ่มเริ่มขยับเข้ามาหาผม  เมื่อกลุ่มนี้เข้ามาใกล้กลุ่มนั้นก็เข้ามาด้วย  ตามมาด้วยอีกหลาย ๆกลุ่ม  เมื่อส่งยิ้มให้แล้ว  สักพักหนึ่งพวกเขาก็เข้ามาขอลายเซ็น  แต่ด้วยความที่แสดงออกไม่เป็น  พวกเขาก็ดึงทึ้งผมไปมาเป็นที่สนุกสนาน  จังหวะนั้นเอง  ตัวผมเสียจังหวะล้มลง  ส่วนแฟนเพลงอีกนับสิบก็ล้มทับตามลงมาโดยไม่มีใครลุกเลย  ในวินาทีนั้นผมหายใจไม่ออก  สติเกือบจะดับวูบ  ได้แต่นึกถึงแม่ว่า  “แม่ ช่วยอ๊อดด้วย  อ๊อดไม่ไหวแล้ว  อ๊อดจะตายแล้ว”

วันนั้นโชคยังดีที่เด็กยกไฟเห็นเหตุการณ์  เลยแหวกเข้ามาช่วยได้ทัน  เพราะถ้าช้ากว่านั้นผมก็คงขาดอากาศหายใจไปแล้วนับตั้งแต่วันนั้น  ผมร้อง “อ๋อ” เลยว่าความดังมันเป็นอย่างนี้  เพิ่งได้รู้ว่าตัวเองดังก็ตอนที่ชีวิตเฉียดความตายไปแล้วนี่เอง

ดังก็ไม่ยึด  ยังรับใช้ครูบาอาจารย์

ตอนนั้นผมเรียนไปด้วย  ทำงานเพลงไปด้วย  ถือว่าใช้ชีวิตหนักมาก  ทุกสัปดาห์ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด  ไปออกรายการตามสถานีวิทยุ  ให้สัมภาษณ์ตอนห้าทุ่ม เที่ยงคืน  กว่าจะกลับบ้านก็เช้าพอเช้าก็ยังต้องไปเรียนต่อ วนเวียนอยู่อย่างนี้

แต่ผมรู้ดีว่าเป้าหมายในชีวิตของตัวเองคืออะไร  จากประสบการณ์ที่ได้เห็นชีวิตญาติ ๆ น้า ๆ ที่เป็นนักร้อง นักดนตรี  ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตแบบนี้ไม่แน่นอน  ด้วยเหตุนี้ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนผมก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน  พยายามสอบให้ผ่านจนได้  และจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยสองกว่า ๆ

ชีวิตช่วงนั้นของผมเรียกว่าดังถึงขีดสุดก็ว่าได้  เป็นตัวทำเงินให้บริษัท  แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีกับความดังนี้เลย  อาจเป็นเพราะผมได้ใกล้ชิดพระวัดป่าสายกรรมฐาน  ได้ซึมซับคำสั่งสอนของท่านมา  จึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรยึด อย่างที่ท่านบอกว่า  “ดีก็บ่ยึดไม่ดีก็บ่ยึด  แต่เอาจิตตามรู้มันเท่านั้น”หมายความว่าสิ่งไหนไม่ดี  เราก็รู้ว่ามันไม่ดีอย่าเข้าไปเกี่ยวข้อง  เขาชมว่าเป็นนักร้องที่ดังเหลือเกิน เสียงเพราะ  เราก็ฟังไว้รู้แค่ว่านั่นคือคำชม  แต่ไม่เอาจิตไปรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความดีใจกับสิ่งเหล่านั้น

อย่างไรก็ตาม  ขณะนั้นแม้ว่าจะมีชื่อเสียงแล้ว  ผมก็ยังไปดูแลรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าเหมือนเดิม  ไปขนอิฐ  ขนปูนสร้างวัดในที่ไกล ๆ แห้งแล้ง  บางสัปดาห์ที่ไม่มีทัวร์คอนเสิร์ต ผมกับครูบาอาจารย์ก็จะขับรถไปส่งเสบียงให้กับพระที่ปฏิบัติอยู่ตามถ้ำ อย่างเช่นป่าละอู  แถวหัวหิน ท่านให้ช่วยงานอะไรผมก็ช่วยหมดทุกอย่างและส่วนใหญ่ก็เป็นงานหนักที่ต้องใช้แรงใช้การเสียสละ  ต้องฝืนตัวเองเพราะไม่ใช่งานที่สนุก  แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ  ผมคิดว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาทำให้ผมเปลี่ยนจากคนในอดีตมาเป็นอีกคนหนึ่ง  จากคนที่คิดไม่เป็นให้คิดเป็น

เมื่อก่อนผมกลัวผีมาก  ในค่ำคืนหนึ่งครูบาอาจารย์เลยทดสอบด้วยการให้ผมเดินผ่านป่าที่มืดสนิท  ผมกลัวจับจิต  กลัวว่าจะมีคนตามหลัง  กลัวว่าจะหันไปเจอผี…

ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วผมเจออะไรต้องติดตามต่อไปนะครับ

Secret Box
ไม่คบคนพาล  คบแต่บัณฑิต  และบูชาบุคคลที่ควรบูชานี้คือมงคลอันสูงสุด

(สุตตนิบาต  พระไตรปิฎก)

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.