หลังจากเรียนจบ ม.ศ. 3 ในสมัยนั้นแล้วผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) กับหมูซึ่งเป็นเพื่อนสนิทที่เรียนเก่งที่สุดในโรงเรียนก็สอบเข้าเรียนต่อได้ที่วิทยาลัยเกษตรกรรมเจ้าคุณทหาร(ปัจจุบันคือคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง)ส่วนเพื่อนคนอื่นในโรงเรียนสอบไม่ติด
ตอนนั้นเราไม่รู้ว่าตัวเองอยากเรียนอะไร รู้แต่ว่าเมื่อสอบติดแล้วก็ไปเรียนวิชาที่เรียนต้องถือจอบขุดดิน ทำแปลงเกษตรขนาด 1 × 6 เมตร 4 แปลง แล้วต้องเลี้ยงหมูจับหมูฉีดยา เวลาจะฉีดแต่ละทีผมก็ต้องใช้ขาล็อกคอหมู แล้วให้เพื่อนอีกคนฉีดยา เชื่อไหมว่า เวลาขึ้นรถเมล์ ผมต้องยืนตรงบันไดเพราะตัวเหม็นมาก ขนาดเด็กนักเรียนผู้หญิงเดินผ่าน ต้องเอามืออุดจมูกโดยอัตโนมัติ ไม่กลัวว่าเราจะเสียหน้าเลย เมื่อขึ้นปี 2 ผมกับเพื่อนก็เริ่มมานั่งคิดกันว่าสิ่งที่เราเรียนใช่สิ่งที่เราชอบหรือเปล่า เมื่อไม่ใช่แน่แล้ว เราสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ใหม่ในปีนั้นหมูติดเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ส่วนผมติดเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทั้งที่เลือกนิเทศศาสตร์เป็นอันดับหนึ่ง แต่สอบไม่ติด
ชีวิตปี 1 ในมหาวิทยาลัยของผมตอนนั้นมาพร้อมกับชื่อเสียงในฐานะนักร้อง เพราะเริ่มเข้าห้องอัดทำอัลบั้มเรียบร้อยแล้ว จากผู้ชายธรรมดา ๆ คนหนึ่งผมก็เพิ่งได้เห็นว่าความดังเป็นอย่างไร และเป็นความดังที่เกือบทำให้ผมขาดใจตายเลยทีเดียว!
ก้าวแรกในวงการดนตรี
ผมเริ่มดีดกีตาร์และฝึกแต่งเพลงมาตั้งแต่เรียน ป. 7 โดยเริ่มจากการเล่นเพลงของนักร้องวงดัง ๆ ในยุคนั้นที่เราชอบ เช่นวงอิสซึ่น (Isn’t), อัสนี - วสันต์, ชัยรัตน์เทียบเทียม, วงชาตรี, วงดิ อิมพอสซิเบิ้ลเวลามีประกวดร้องเพลงที่ไหน วงของผมที่มีพี่ชายกับญาติข้างบ้านก็จะเข้าแข่งขันเหมือนวัยรุ่นยุคนี้ที่เข้าประกวดร้องเพลงเอเอฟ (อะคาเดมีแฟนเทเชีย) หรือเดอะวอยซ์นั่นแหละ
แล้ววันหนึ่ง รายการเพลงทางวิทยุรายการหนึ่งก็ประกาศเฟ้นหานักร้องหน้าใหม่ด้วยการให้ส่งเดโมเทปเข้าไปในรายการ ผมกับเพื่อนร่วมวงก็ทำไปส่ง บังเอิญ คุณหนึ่งซึ่งตอนหลังคือคนที่ชักนำผมเข้าสู่ทางสายดนตรีได้ฟังเพลงของพวกเรา เขาถูกใจเสียงร้องของผมและชอบเพลงที่แต่ง เลยชวนให้ไปเข้าห้องอัด ทั้งที่ไม่รู้แน่ชัดว่าจะได้อยู่ค่ายเพลงไหน แต่ที่สุดเขาก็ดูแลจัดการจนเราได้ไปอยู่ค่ายอาร์เอส ในยุคเดียวกับชมพู ฟรุตตี้, อ๊อด บรั่นดี ในขณะที่แกรมมี่ตอนนั้นมีสาว สาว สาว, แมคอินทอช และดิ อินโนเซ้นต์
ผมไม่คิดว่าตัวเองจะมีชื่อเสียงโด่งดังเพราะหน้าตาอย่างนี้ดังมาได้ก็บุญโขแล้วมิหนำซ้ำตอนที่รู้ว่าตัวเองดัง ผมก็แทบขาดอากาศหายใจเลยทีเดียว
เหตุเกิดขึ้นในวันที่ผมไปเล่นฟรีคอนเสิร์ต รายการ โลกดนตรี ที่สถานีกองทัพบกช่อง 5 เมื่อขึ้นเวที เล่น ๆ ร้อง ๆไปเราก็ไม่รู้หรอกว่าผู้ฟังด้านล่างเวทีที่เป็นเด็กวัยรุ่นเขาชื่นชอบเรา เราคิดแค่ว่าทำสิ่งที่รักที่ชอบเท่านั้น เล่นเสร็จฝ่ายรักษาความปลอดภัยก็ไม่ได้ดูแลอะไรเรามากเพราะไม่รู้ว่าไอ้เด็กนี่วงอะไร เขาก็เลยปล่อยสักพักก็มีแฟนเพลงผู้หญิงจับกลุ่มกันแล้วค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาหาผม สมัยก่อนสื่อไม่ได้มีมากเท่าปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่แฟนเพลงจะรู้จักเราผ่านวิทยุ แล้วค่อยมาเห็นตัวจริง พอเห็นตัวจริง เขาก็เลยอยากพูดคุย ขอลายเซ็น
เวลาผ่านไป แฟนเพลงหลายกลุ่มเริ่มขยับเข้ามาหาผม เมื่อกลุ่มนี้เข้ามาใกล้กลุ่มนั้นก็เข้ามาด้วย ตามมาด้วยอีกหลาย ๆกลุ่ม เมื่อส่งยิ้มให้แล้ว สักพักหนึ่งพวกเขาก็เข้ามาขอลายเซ็น แต่ด้วยความที่แสดงออกไม่เป็น พวกเขาก็ดึงทึ้งผมไปมาเป็นที่สนุกสนาน จังหวะนั้นเอง ตัวผมเสียจังหวะล้มลง ส่วนแฟนเพลงอีกนับสิบก็ล้มทับตามลงมาโดยไม่มีใครลุกเลย ในวินาทีนั้นผมหายใจไม่ออก สติเกือบจะดับวูบ ได้แต่นึกถึงแม่ว่า “แม่ ช่วยอ๊อดด้วย อ๊อดไม่ไหวแล้ว อ๊อดจะตายแล้ว”
วันนั้นโชคยังดีที่เด็กยกไฟเห็นเหตุการณ์ เลยแหวกเข้ามาช่วยได้ทัน เพราะถ้าช้ากว่านั้นผมก็คงขาดอากาศหายใจไปแล้วนับตั้งแต่วันนั้น ผมร้อง “อ๋อ” เลยว่าความดังมันเป็นอย่างนี้ เพิ่งได้รู้ว่าตัวเองดังก็ตอนที่ชีวิตเฉียดความตายไปแล้วนี่เอง
ดังก็ไม่ยึด ยังรับใช้ครูบาอาจารย์
ตอนนั้นผมเรียนไปด้วย ทำงานเพลงไปด้วย ถือว่าใช้ชีวิตหนักมาก ทุกสัปดาห์ต้องไปทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด ไปออกรายการตามสถานีวิทยุ ให้สัมภาษณ์ตอนห้าทุ่ม เที่ยงคืน กว่าจะกลับบ้านก็เช้าพอเช้าก็ยังต้องไปเรียนต่อ วนเวียนอยู่อย่างนี้
แต่ผมรู้ดีว่าเป้าหมายในชีวิตของตัวเองคืออะไร จากประสบการณ์ที่ได้เห็นชีวิตญาติ ๆ น้า ๆ ที่เป็นนักร้อง นักดนตรี ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตแบบนี้ไม่แน่นอน ด้วยเหตุนี้ต่อให้ทำงานหนักแค่ไหนผมก็ไม่ทิ้งเรื่องการเรียน พยายามสอบให้ผ่านจนได้ และจบมาด้วยเกรดเฉลี่ยสองกว่า ๆ
ชีวิตช่วงนั้นของผมเรียกว่าดังถึงขีดสุดก็ว่าได้ เป็นตัวทำเงินให้บริษัท แต่ผมกลับไม่รู้สึกยินดีกับความดังนี้เลย อาจเป็นเพราะผมได้ใกล้ชิดพระวัดป่าสายกรรมฐาน ได้ซึมซับคำสั่งสอนของท่านมา จึงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ควรยึด อย่างที่ท่านบอกว่า “ดีก็บ่ยึดไม่ดีก็บ่ยึด แต่เอาจิตตามรู้มันเท่านั้น”หมายความว่าสิ่งไหนไม่ดี เราก็รู้ว่ามันไม่ดีอย่าเข้าไปเกี่ยวข้อง เขาชมว่าเป็นนักร้องที่ดังเหลือเกิน เสียงเพราะ เราก็ฟังไว้รู้แค่ว่านั่นคือคำชม แต่ไม่เอาจิตไปรู้สึกขนลุกขนพองด้วยความดีใจกับสิ่งเหล่านั้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนั้นแม้ว่าจะมีชื่อเสียงแล้ว ผมก็ยังไปดูแลรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าเหมือนเดิม ไปขนอิฐ ขนปูนสร้างวัดในที่ไกล ๆ แห้งแล้ง บางสัปดาห์ที่ไม่มีทัวร์คอนเสิร์ต ผมกับครูบาอาจารย์ก็จะขับรถไปส่งเสบียงให้กับพระที่ปฏิบัติอยู่ตามถ้ำ อย่างเช่นป่าละอู แถวหัวหิน ท่านให้ช่วยงานอะไรผมก็ช่วยหมดทุกอย่างและส่วนใหญ่ก็เป็นงานหนักที่ต้องใช้แรงใช้การเสียสละ ต้องฝืนตัวเองเพราะไม่ใช่งานที่สนุก แต่เป็นสิ่งที่ต้องทำ ผมคิดว่าตัวเองเป็นหนี้บุญคุณพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาทำให้ผมเปลี่ยนจากคนในอดีตมาเป็นอีกคนหนึ่ง จากคนที่คิดไม่เป็นให้คิดเป็น
เมื่อก่อนผมกลัวผีมาก ในค่ำคืนหนึ่งครูบาอาจารย์เลยทดสอบด้วยการให้ผมเดินผ่านป่าที่มืดสนิท ผมกลัวจับจิต กลัวว่าจะมีคนตามหลัง กลัวว่าจะหันไปเจอผี…
ถ้าอยากรู้ว่าสุดท้ายแล้วผมเจออะไรต้องติดตามต่อไปนะครับ
Secret Box
ไม่คบคนพาล คบแต่บัณฑิต และบูชาบุคคลที่ควรบูชานี้คือมงคลอันสูงสุด
(สุตตนิบาต พระไตรปิฎก)