จับเงา – พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)
มนุษย์เกิดมาก็วิ่งหาสุข เขาวิ่งหาไม่สิ้นสุด หยุดไม่ได้บางคนก็สมหวัง บางคนก็ผิดหวัง มีไม่น้อยที่ร่ำรวยหรือล้มละลาย เป็นหนี้สินรุงรัง. เขาคิดว่า เมื่อมีสิ่งใดแล้วสิ่งนั้นจะนำสุขมาให้อย่างแน่นอน แต่ปรากฏว่า สิ่งที่มีหลายอย่างไม่ได้นำความสุขมาให้ แต่กลับนำความขัดแย้งความกังวลใจมาให้มากกว่า บางครั้งถึงกับคิดว่า ถ้าเราไม่มีสิ่งนี้ ปัญหาก็คงไม่เกิดมากมายเพียงนี้ อยากสลัดทิ้งแต่ก็สายเสียแล้ว เช่น การมีอำนาจ แล้วใช้อำนาจในทางผิด การมีทรัพย์ แต่ได้มาโดยทุจริต เป็นต้น.
ท่านผู้อ่านของข้าพเจ้าคงคิดไม่ต่างกันว่า แท้จริงแล้วเราทั้งหลายต่างก็วิ่งจับเงากันทั้งนั้น ไม่มีสิ่งใดที่ได้มาแล้วเป็นของเราจริงๆ เพราะสิ่งที่เราได้มาเมื่อก่อนก็เป็นของคนอื่นเราซื้อมา เราขายไป จากที่เป็นของเรา เขาก็รับไปเป็นเจ้าของชีวิตและทรัพย์สินก็เช่นกัน เปลี่ยนมือ เปลี่ยนผ่านไปเรื่อยๆที่เราเรียกกันว่า สมบัติผลัดกันชม ชีวิตของเราถูกเปลี่ยนผ่านด้วยกาลเวลา กาลเวลาเป็นผู้ชื่นชมชีวิตและให้คุณค่าแก่ชีวิต บางคนกว่าจะรู้ว่าชีวิตมีค่าก็ต่อเมื่อสายเสียแล้วจะเริ่มต้นก็ยาก จะถอยหลังกลับก็สาย สิ่งที่มีอยู่ก็มาก แต่เอาไปไม่ได้
สิ่งทั้งปวงที่มนุษย์แสวงหามาปรนเปรอชีวิต ในที่สุดก็เป็นเงาที่เราไล่ตะครุบตลอดชีวิต ยกเว้นสิ่งที่เป็นความภาคภูมิใจ เกียรติยศของชีวิต ความดีงามและบุญกุศลที่ได้ทำแก่ตนและคนอื่นไว้ นี่คือความสุขใจ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่จะเป็นตัวประคองอารมณ์สุดท้ายก่อนสิ้นลมปราณ ใยเล่าพวกเราจึงมาแก่งแย่งแบ่งแยกกัน จนทำให้เกิดความสับสนวุ่นวาย ใยเล่าเราจึงมองไม่เห็นตัวตนที่แท้จริง ถ้าเราไม่ต้องการเงา เราต้องรีบสละตัวตน เพราะมีตัวจึงมีเงา ตัวใหญ่เงาก็ใหญ่ ไร้ตัวตน ก็ไร้เงา
การจะมีชีวิตอยู่อย่างเป็นสุขหรืออยู่ร่วมกันในสังคมอย่างร่มเย็นได้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ หยุดสร้างเงาหลอกหลอนตัวเองและพรรคพวก เพราะเงาไร้รูปร่างหน้าตา เงามีสีเดียวคือดำทะมึน เงาไม่บอกว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรให้ชัดเจน
เมื่อเราหลงเงา ก็เท่ากับหลงเข้าไปในกับดักอารมณ์หยุดสร้างเงา ใจเราก็จะสบาย.
บทความน่าสนใจ