ลูกหมี (รัศมี ทองสิริไพรศรี) มีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า “ผู้ชายมีต่อมความเห็นแก่ตัวมากกว่าผู้หญิงอยู่ที่ว่าใครจะแสดงให้เห็นมากน้อยแค่ไหนเท่านั้น” อย่างไรก็ตาม ขอออกตัวก่อนว่า นี่เป็นความคิดเห็นส่วนตัวที่มาจากประสบการณ์ของลูกหมีเอง ถูกผิด ใช่หรือไม่ใช่ คุณอาจต้องพิจารณาด้วยตัวเอง
สำหรับลูกหมี หลังจากแต่งงานกับอดีตสามีซึ่งเป็นนักดำน้ำได้ไม่นาน ตัวตนที่แท้จริงของเขาก็เริ่มเผยให้เห็น หลายครั้งที่เขาเอาเปรียบลูกหมีในเรื่องต่างๆ ลูกหมีรู้ทั้งรู้แต่ก็ยอม ไม่พูดไม่ว่าอะไรเพราะคิดว่าคนเราแต่งงานเป็นสามีภรรยาใช้ชีวิตครอบครัวด้วยกันไม่ควรมีเธอมีฉัน แต่ต้องมีความเป็นหนึ่งเดียว มีจุดหมายร่วมกันอะไรที่ยอมได้ก็ต้องยอม
แต่เมื่อนานวันเข้า ลูกหมีก็เริ่มมีคำถามกับตัวเองว่า “ผู้ชายเขาทำกันอย่างนี้เหรอ” คำถามนี้เกิดขึ้นอยู่ในหัวลูกหมีตลอดเวลา และแม้จะพยายามปรับเปลี่ยนตัวเองอย่างไร สถานการณ์ในชีวิตคู่ก็มีแต่ดิ่งลงเหวยิ่งกว่าเดิม
เหตุที่ต้องเลิกรา
“พี่ว่าเราควรทำธุรกิจอะไรที่เป็นของครอบครัวไหม” เมื่อลูกหมีถามอดีตสามีด้วยประโยคนี้ คำตอบที่ได้รับกลับมาคือความเงียบที่ผ่านมาเขาและลูกหมีต่างคนต่างใช้เงินคนละกระเป๋า ใครหามาได้ก็ใช้ของใครของมัน เป็นเงินเธอเงินฉัน แต่เมื่อใช้ชีวิตคู่ไปด้วยกันสักระยะ ลูกหมีเริ่มคิดว่า ในเมื่อเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วน่าจะมีธุรกิจที่ทำด้วยกันเพื่อให้มีเงินกองกลางที่จะใช้หรือเก็บเป็นความมั่นคงของครอบครัว
แต่ยิ่งลูกหมีคาดคั้นคำตอบจากเขา กลับกลายเป็นการจุดชนวนทะเลาะกันทุกครั้ง และเขาจะว่าลูกหมีทุกครั้งว่า “ลูกหมีคิดจะกอบโกยเอาแต่ผลประโยชน์ ฉวยโอกาสจากพี่ฝ่ายเดียว” ประโยคต่อว่านี้เกิดขึ้นแทบทุกครั้งที่มีการถกเถียงกันหรือเมื่อพูดถึงรายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นในครอบครัว สิ่งที่เขากล่าวหาทำให้ลูกหมีเสียใจมาก เพราะที่ผ่านมาตัวเองก็ไม่เคยได้รับเงินจากอดีตสามี สิ่งที่เขาช่วยรับผิดชอบก็มีแค่ค่าเช่าคอนโด ค่าน้ำ ค่าไฟ มีเพียงเรื่องเดียวที่ลูกหมีกับเขาสามารถคุยกันได้โดยไม่ลงเอยด้วยการทะเลาะ คือเรื่องเที่ยวและเรื่องดำน้ำเท่านั้น
ลูกหมีพยายามอดทน ประคับประคองชีวิตคู่ ด้วยหวังว่าสักวันทุกอย่างอาจดีขึ้น แต่กลายเป็นว่ายิ่งนานวันก็ได้คำตอบให้ตัวเองแล้วว่า“เราตัดสินใจผิดที่แต่งงานกับผู้ชายคนนี้” 4 ปีที่คบกันมา แต่งงานใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน กลายเป็นช่วงเวลาที่สูญเปล่าและต้องสูญเสียเงินทองไป
ความเจ็บปวดที่ต้องเยียวยา
หลังตัดสินใจเลิกรากับอดีตสามี ลูกหมีก็ยังมีเรื่องให้ปวดใจเกี่ยวกับการจัดการข้าวของ เงินทอง และบ้านตามมาอีกระลอก ซึ่งทำให้ลูกหมีรู้สึกเครียดจนเกินจะทนและไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้อีกต่อไป ลูกหมีจึงตัดสินใจไปพบจิตแพทย์ คุณหมอเปิดโอกาสให้ลูกหมีพูดและระบายความคับข้องใจในการใช้ชีวิตคู่อยู่นานเป็นชั่วโมงก่อนจะสรุปให้ฟังว่า
“อาการของคุณเป็น PTSD (Posttraumatic Stress Disorder)คนที่มีอาการนี้จะมีลักษณะคล้ายๆ กับผู้ประสบเหตุสึนามิ คือเมื่อเห็นภาพเหตุการณ์คล้ายๆ กันหรือเดิมๆ ซ้ำๆ ก็จะเกิดความกลัว ส่วนในกรณีของลูกหมี คือภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่ลูกหมีถูกเอาเปรียบลอยเข้ามาในหัวทีละเรื่องๆ จนนับไม่ถ้วน การที่ถูกตอกย้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเป็นคนคิดแปลกๆ เป็นคนเห็นแก่ตัว เป็นคนที่จ้องจะเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว ทำให้เกิดความเครียดและความขัดแย้งในตัวเองว่า การกระทำทุกอย่างที่คุณคิด พูด ทำนั้นถูกหรือผิด ความคิดนี้จะขัดแย้งและสลับกันไปมาอยู่ในหัวสมอง จนทำให้คุณกลายเป็นคนที่ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง”
คุณหมอวินิจฉัยอาการอย่างทะลุปรุโปร่ง จนลูกหมีสามารถหาทางออกให้ชีวิตได้ คุณหมอแนะนำให้ลูกหมีแก้ไขอาการดังกล่าวด้วยการพยายามไม่เล่าเรื่องเดิมซ้ำๆ เพราะการเล่าแต่ละครั้งจะเป็นการตอกย้ำเรื่องที่เราเคยสะเทือนใจเข้าไปในจิตใต้สำนึก คุณหมอบอกให้ทำอะไรก็ได้ที่เรามีความสุข เช่น ถ้าอยู่คนเดียวแล้วเหงาก็ให้ออกไปพบเพื่อนหรือทำกิจกรรมที่ชอบ และให้ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
หลังจากลูกหมีทำตามที่คุณหมอบอกอยู่นานเป็นเดือน ปรากฏว่าอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกไม่มั่นใจ สับสนว่าตัวเองทำถูกหรือผิดลดน้อยลง และเลือกวิถีทางที่มีความสุขให้กับตัวเอง เพราะลูกหมีเชื่อว่า คนที่จมอยู่กับปัญหาคือคนที่ใช้ชีวิตอย่างขาดสติ และโชคดีที่ลูกหมีซื้อบ้านอยู่ติดกับคุณพ่อคุณแม่ (ลิขิต – สำอางค์ ทองสิริ -ไพรศรี) ท่านทั้งสองจะคอยให้กำลังใจ ไม่เคยซ้ำเติม สิ่งนี้ลูกหมีคิดว่าสำคัญมากสำหรับคนที่เจ็บปวด ท้อแท้ และผิดหวังจากความรัก
นอกจากนั้นวิธีการอื่นๆ ที่ลูกหมีนำมาใช้คือ การทำงานให้ดีที่สุดทั้งในฐานะนางแบบและเจ้าของโรงเรียนสอนเดินแบบและพัฒนาบุคลิกภาพ We are Model (www.wearemodel.com) ซึ่งด้วยผลของการตั้งใจทำงานให้ดีที่สุดนี้ ทำให้ลูกหมีมีงานเข้ามาจนสามารถผ่อนบ้านหลังใหม่หมดภายในเวลาอันรวดเร็ว เป็นความสุขและความภูมิใจที่สามารถเรียกกำลังใจในการใช้ชีวิตให้กลับคืนมาอีกครั้ง
ตั้งหลักใหม่ให้ชีวิต
ลูกหมีพยายามตั้งหลักด้วยวิธีการต่างๆ เพื่อให้ชีวิตดำเนินไปได้ด้วยดี และค้นพบว่าธรรมะคือที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ดีที่สุด ถ้าลูกหมีไม่ทุกข์สุดๆ ก็คงไม่หันมาสนใจปฏิบัติธรรมขนาดนี้ เมื่อก่อนลูกหมีเข้าใจว่าสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติอยู่ตั้งแต่เล็กจนโตคือการสวดมนต์ ใส่บาตร ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นการทำความดีแล้ว แต่ที่จริงนั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งที่เล็กน้อยมาก
การปฏิบัติธรรมทำให้ลูกหมีรู้จักตัวตนของตัวเองมากขึ้น เท่าที่ผ่านมาลูกหมีดำเนินชีวิตด้วยความคิดดี ไม่หวังร้ายใคร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สิ่งที่ลูกหมีคิดถือว่ายังไม่ละเอียดรอบคอบมากพอ ส่วนใหญ่คิดเร็วไปไม่มองถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้น จึงทำให้เกิดความผิดพลาดนับครั้งไม่ถ้วนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ตอนนี้ลูกหมีรู้แล้วว่า ความคิดของเราเป็นสิ่งสำคัญมาก สามารถนำพาชีวิตของเราไปได้ทั้งในด้านดีและด้านร้าย จะคิดอะไรจึงต้องระมัดระวัง โดยเฉพาะการคิดในทางลบที่มีแต่จะทำให้ใจเราเศร้าหมองขุ่นมัว
ก่อนจะไปปฏิบัติธรรม ลูกหมีเริ่มต้นด้วยการอ่านหนังสือธรรมะต่างๆ รวมทั้งมีโอกาสสนทนาธรรมกับ พระมหาณัฐพงษ์ ฐิตปญฺโญนาคถ้ำ แห่ง วัดชำนิหัตถการ (วัดสามง่าม) ซึ่งลูกหมีเรียกว่า “พระพ่อ”นอกจากท่านจะให้คำแนะนำที่ดีในการดำเนินชีวิตแก่ลูกหมีแล้ว ท่านยังก่อตั้ง “กองทุนบุญนิธิ” สำหรับช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ในด้านต่างๆอีกด้วย
จนกระทั่งวันหนึ่ง พี่ที่ลูกหมีรักและสนิทคนหนึ่งชวนลูกหมีไปปฏิบัติธรรมที่ วัดถ้ำเสือเหลือง จังหวัดลพบุรี นั่นเป็นการปฏิบัติธรรมครั้งแรก ซึ่งทำให้ลูกหมีสัมผัสถึงความว่างเปล่าที่เต็มไปด้วยความสุขหลังจากนั้นลูกหมีก็ไปปฏิบัติธรรมอีกเรื่อยๆ ที่วัด มกุฏคีรีวัน อำเภอเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ที่นี่เป็นวัดที่สวยงามมากวัดหนึ่งเท่าที่ลูกหมีเคยเห็นมา
นอกจากปฏิบัติธรรมแล้ว ลูกหมียังมีโอกาสไปเข้าคอร์ส “ล้างพิษทางอารมณ์” ซึ่งเป็นการล้างพิษด้วยการทำ “สมาธิเหวี่ยง” ที่ จีรัง เฮลท์รีสอร์ท แอนด์สปา ที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ คอร์สนี้ทำให้ลูกหมีได้ล้างพิษที่ติดค้างทางอารมณ์ ผลคือ ทำให้จิตโล่ง โปร่งเบา จากอารมณ์ด้านลบที่เกาะกินอยู่ในใจ
ทุกวันนี้ลูกหมีปฏิบัติภาวนาเองที่บ้าน รวมทั้งสวดมนต์ทำวัตรเช้าหรือไม่ก็สวดมนต์ทำวัตรเย็นเกือบทุกวัน และทุกครั้งที่สวดมนต์ลูกหมีจะต้องทราบคำแปลว่าแต่ละบทที่สวดออกไปหมายถึงอะไรสวดเพื่ออะไร เพื่อน้อมนำใจให้เข้าถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อย่างแท้จริง