อเล็กซานเดอร์ เรนเดลล์ ทำความดีต้อง “ใช้ใจนำ” และ “ใช้ใจทำ”
อเล็กซานเดอร์ เรนเดลล์ เป็นคนหนึ่งที่เคยลงไปเยือนภาคใต้มาแล้วเช่นกัน แม้จะไปในฐานะนักแสดง แต่ประสบการณ์ครั้งนั้นก็ถือเป็นวันดี ๆ ที่อเล็กซ์ประทับใจไม่มีวันลืม
ตอนนั้นมีพี่คนหนึ่งมาชวนว่า ลงไปให้กำลังใจชาวใต้ที่นราธิวาสกันไหม กล้าไปหรือเปล่า ผมเองก็อยากไปให้เห็นกับตาด้วยว่า สถานการณ์ในพื้นที่จริง ๆ เป็นอย่างไร อยากไปให้กำลังใจคนที่นั่น ไม่มีคำว่ากลัวเลย มีแค่แอบระแวงหน่อย ๆ (หัวเราะ) พอเคลียร์งานได้ก็ตัดสินใจไปกับพี่ ๆ ทันที ทริปนั้นศิลปินนักแสดงไปกันหลายคนครับ เช่น พี่เรย์ แมคโดนัลด์ พี่ ๆ วงบุดด้า เบลส วงสิงห์เหนือเสือใต้ ฯลฯ
พอไปถึงก็ตื่นเต้นเลยครับ เพราะผมไม่เคยคิดเลยว่า สภาพบ้านเมืองที่นราธิวาสจะเหมือนที่เห็นในหนังฝรั่ง หรือไม่ก็อิรัก อิหร่าน ปากีสถาน เพราะมีทั้งรถทหารประจำการอยู่ในเมือง มีทหารสะพายปืนเดินไปมา และต้องมีจุดตรวจมากมาย ผมก็เริ่มคิดว่า นี่คงไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เลย แต่ก็ตั้งใจทำหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่
พี่น้องชาวใต้พอรู้ว่าคณะของเรามาก็ต้อนรับกันเต็มที่ เราไปไหน พวกเขาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ตามไปด้วย ตามกันเป็นสิบ ๆ คันเลยนะครับ พอถึงเวลาทำกิจกรรมไม่ว่าจะร้องเพลง เล่นเกม พวกเราก็เต็มที่ พยายามมอบความสุขให้พวกเขาให้ได้มากที่สุด ส่วนพวกเขาก็สนุกกันเต็มที่เหมือนกัน ทุกคนมีแต่รอยยิ้มและเสียงหัวเราะ แต่บางคนก็คงอดสงสัยไม่ได้ถึงกับเดินมาถามผมว่า “ทำไมถึงมาที่นี่ ไม่กลัวเหรอ”
ที่ถามอย่างนี้เพราะเขาได้ยินมาว่า ไม่มีใครมาบ้านเขา ไม่มีใครมาหาเขาเพราะกลัว เขาจึงรู้สึกเหมือนว่าถูกทอดทิ้งอยู่กลาย ๆ ผมเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา เพราะถ้าสมมติว่าที่นี่เป็นบ้านเราบ้าง แต่ไม่ว่าเราจะชวนเพื่อนอย่างไรก็ไม่มีใครกล้ามาเราก็คงรู้สึกแย่เหมือนกันนะ
จำได้แม่นว่า วันสุดท้ายที่จะกลับผมถอดเสื้อที่ใส่อยู่ออกมาเพื่อให้น้อง ๆ ช่วยเซ็นเป็นที่ระลึก น้อง ๆ ก็เซ็นกันใหญ่ มีหลายข้อความที่โดนใจอย่างแรง เช่น กลับมาอีกนะ หนูจะรอ ขอบคุณนะคะที่ไม่ทอดทิ้งหนู ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่า ถ้ามีโอกาสก็อยากจะทำกิจกรรมแบบนี้อีก อย่างน้อยก็ทำให้พี่น้องที่นั่นอบอุ่นใจขึ้นมาบ้างว่า พวกเขาไม่ได้ถูกทอดทิ้ง
จากนั้นคณะของพวกเราก็ไปขึ้นเครื่องกลับ พวกเขาก็ตามมาส่งที่สนามบินอีก คราวนี้ยิ่งเป็นฉากที่ประทับใจผมมาก ๆ เพราะไม่เคยมีใครมาส่งผมมากมายขนาดนี้ มันซาบซึ้งจริง ๆ เสื้อตัวนั้นผมยังเก็บเอาไว้จนวันนี้เลยครับ…
อีกเรื่องที่ประทับใจเหมือนกัน ก็เมื่อตอนน้ำท่วมครับ ช่วงนั้นทางช่อง 3 มีกิจกรรมออกไปช่วยคนทุกวัน นักแสดงคนไหนว่างก็ไปช่วยกัน เหตุการณ์ตอนนั้นผมมองว่า เหมือนซอมบี้มากวาดเมืองเลย เมื่อทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า มีแต่น้ำ หลายคนไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีแม้แต่เสื้อผ้า ไม่มีข้าวกิน ลำบากกันมาก ๆ
“เดี๋ยวกลับไปบ้าน เราก็นอนตากแอร์เย็นสบาย มีข้าวกินครบสามมื้อ แต่พวกเขาไม่เหลืออะไรเลย ตอนนี้เรามีมากกว่า เราก็ต้องเอากำลัง เอาใจที่มีไปช่วยเขา ขอแค่ได้ช่วยแล้วกัน เหนื่อยหน่อยเดี๋ยวก็หาย แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลยสิจะรู้สึกแย่”
ช่วงนั้นที่บ้านผมก็ลงมือทำเค้กกล้วยหอมกัน เพราะคิดว่า นอกจากข้าวกล่อง บะหมี่สำเร็จรูปแล้ว เขาน่าจะได้กินขนมบ้าง จะได้สดชื่น พอทำเค้กกล้วยหอมเสร็จก็รีบแพ็คใส่ถุงเตรียมเอาไปแจกด้วยความตื่นเต้น แต่ช่วงที่นั่งเรือเล็ก เข้าไปแจกของนี่สิ ที่ทำเอาผมกลับมาคิดมากเลย เพราะด้วยสภาพพื้นที่ที่ยากจะเข้าไป บ้านบางหลังคนก็หนีน้ำขึ้นไปอยู่สูงเกินกว่าจะส่งอาหารไปถึง จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องโยนของขึ้นไปให้เขา บางทีโยนไม่ได้จังหวะ ถุงของก็หล่นน้ำบ้าง หล่นลงพื้นแข็ง ๆ ถุงแตกก็มี เขาก็ต้องไต่จากบ้านลงมาเก็บ
ผมมองว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่การกระทำที่มนุษย์ควรจะปฏิบัติต่อกันเลย แต่ก็เข้าใจว่าไม่มีทางอื่นที่ดีกว่านี้ ถ้าอยากสบายใจ เราก็พยายามเข้าไปให้ได้ใกล้เขามากที่สุดก็แล้วกัน ยิ่งถ้ายื่นส่งให้ด้วยมือได้ก็ยิ่งดี ผมเองก็พยายามทำเท่าที่จะทำได้ ขอให้เราสบายใจที่ได้ทำ และขอให้คนที่ได้รับมีความสุขก็พอ
สิ่งที่เล่ามาทั้งหมดนี้ผมยึดหลักง่าย ๆ เหมือนการทำงานครับ เพียงแค่ “ใช้ใจนำ” และ “ใช้ใจทำ” ไม่ใช่แค่ลงมือทำเฉย ๆ โดยที่ใจเราไม่ได้อยากทำ เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นเราก็จะไม่สามารถยิ้มกว้าง ๆ หรือมีความสุขไปกับสิ่งนั้นได้เลย
คอลัมน์ One Fine Day ::: ทำความดีต้อง “ใช้ใจนำ” และ “ใช้ใจทำ”
นิตยสาร Secret ฉบับวันที่ 26 กรกฎาคม 2556
เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์
ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี
บทความน่าสนใจ
ภาวนาครอบครัว “หายใจสงบ เดินเป็นสุข” ณ มูลนิธิหมู่บ้านพลัม
ความสุขจากคำขอบคุณ บทความที่คนกำลังเหนื่อยล้าจากการทำงานควรอ่าน