ความเชื่อและความจริง – พระราชญาณกวี (ท่านปิยโสภณ)
ขณะที่คนบางพวกกำลังไหว้พระจันทร์ คนอีกกลุ่มกำลังนั่งยานอวกาศไปสำรวจดวงจันทร์ ขณะที่หลายคนกำลังมีความสุข ขณะดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ มองดูแสงจันทร์นวลฉ่ำเย็นตา พรรณนาออกมาเป็นบทกลอน อาวรณ์รัก อาลัยหลง คนอีกกลุ่มกำลังคิดวิธีหาความเป็นไปได้ที่จะให้มนุษย์ขึ้นไปตั้งรกรากใช้ชีวิตบนโลกพระจันทร์
แม้วันนี้จะยังไม่มีคำตอบ แต่คนสองขั้วต่างก็พยายามทำหน้าที่ของตน คนหนึ่งเชื่อโดยไม่ต้องพิสูจน์ สุขไปตามจินตนาการ แต่อีกคนต้องทดลอง น่าสังเกตว่า ในขณะที่มนุษย์กำลังล้นโลกใบนี้ ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยสารพิษ มลพิษ ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมถูกทำลายอย่างมาก ทำให้ฝนฟ้าพายุผันผวนหนัก ดินถล่ม ลมแรง ภูเขาไฟระเบิดน้ำท่วมหนัก แผ่นดินทรุด ดวงจันทร์อาจอยู่ในดวงใจของใครหลายคน ที่หวังจะไปอยู่อาศัยเมื่อทุกอย่างพร้อมและเทคโนโลยีล้ำหน้า ชนิดที่ทุกคนสามารถซื้อตั๋วนั่งยานอวกาศไป - กลับเหมือนที่นั่งเครื่องบินไปได้รอบโลก
ข้าพเจ้าคิดว่า ความเชื่อกับความจริงแตกต่างกันมาก บางความเชื่อไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ว่าเป็นจริง เพียงแต่เชื่อ เชื่อและทำตามที่เชื่อก็พอ เช่น เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก แม้จะพิสูจน์แล้วว่าโลกไม่ได้สร้างโดยพระเจ้าก็ตาม แต่ก็ต้องเชื่อว่าท่านสร้างเพราะบางความเชื่อไม่จำเป็นต้องเป็นจริงเสมอไป
ความเชื่อทำให้เกิดความเคารพยำเกรงแต่ความจริงทำให้เกิดความเข้าใจ เราเชื่อว่ามีนรก - สวรรค์หลังความตาย เป็นโลกอีกโลกหนึ่ง แต่ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปพิสูจน์ว่ามันอยู่ที่ไหน สวรรค์จะยังคงเป็นสวรรค์ก็ต่อเมื่อมนุษย์ยังพิสูจน์ไม่ได้ ภูกระดึงจะสูงเกินฝัน สวรรค์ยังไกลเกินเอื้อมต่อเมื่อมนุษย์ยังปีนไม่ถึง เมื่อใดก้าวขึ้นไปยืนได้แล้ว ตรงนั้นก็เป็นแผ่นดินราบ ๆ ธรรมดาไม่มีอะไรแตกต่างจากพื้นราบข้างล่าง
พระพุทธศาสนาสอนให้สร้างศรัทธาและปัญญาให้เสมอกัน เพื่อให้ชีวิตลงตัวคนศรัทธามากจนทิ้งปัญญาจะลุ่มหลงง่าย เช่น หลงเชื่อว่าชาติที่แล้วตนเองเคยเกิดเป็นลูก เป็นภรรยา เป็นสามีของคนนั้นคนนี้ ทั้ง ๆ ที่ไม่มีทางจะพิสูจน์ดีเอ็นเอของจิตได้ อาจทำให้หลงกฎแห่งกรรม ส่วนคนปัญญามากแต่ขาดศรัทธาก็จะปฏิเสธทุกอย่าง ทุกเหตุการณ์ หากพิสูจน์ไม่ได้ด้วยปัญญาธรรมดาของมนุษย์ ซึ่งข้อนี้ก็น่ากลัว เพราะจะทำให้ปฏิเสธเรื่องกฎแห่งกรรมเอาง่าย ๆ
ทางสายกลางจึงดีที่สุด