เรื่องราวของผู้หญิงที่ถูกเก็บมาเลี้ยงแต่เด็ก และเมื่อถึงคราวตัวเองจำต้อง ทิ้งลูก บ้าง จึงเข้าใจหัวอกของแม่แท้ ๆ ที่ทิ้งเธอไป
“แม้พ่อกับแม่จะไม่ได้เป็นพ่อแม่แท้ๆ ของฉัน
แต่ท่านเลี้ยงฉันมาจนถึงขนาดนี้ นับเป็นบุญคุณมากมายแล้ว”
นั่นคือความคิดของฉันเมื่อตัดสินใจออกจากบ้านตอนอายุ 13 ปี พ่อกับแม่เอาฉันมาเลี้ยงตั้งแต่แบเบาะ พออายุสองขวบ แม่ก็คลอดลูกคนแรกและอีกหนึ่งปีถัดมาท่านก็มีน้องคนที่สอง ตั้งแต่เล็กจนโตฉันต้องทำงานบ้านและดูแลน้องทั้งสองคน ถ้าทำผิดฉันจะถูกล่ามโซ่และถูกตีอย่างรุนแรง ความเจ็บปวดทางกายไม่นานก็หาย แต่การถูกด่าว่าว่าเป็น “เด็กไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีใครเอา” ต่างหากที่ทำให้รู้สึกน้อยใจ เสียใจเพิ่มขึ้นทุกวัน
เมื่อเรียนถึงชั้น ป.6 พ่อบอกว่า “จบ ป.6 แล้วก็เลิกเรียนเถอะ น้อง ๆ ยังต้องเรียนอีกตั้ง 2 คน”
แม้จะเสียใจ แต่ก็เข้าใจ เพราะพ่อแม่ไม่ได้มีเงินอะไรมากมายนัก ยังติดหนี้ร้านค้าอยู่ไม่น้อย ฉันจึงบอกพ่อกับแม่ว่าจะไปเป็นกรรมกรที่กรุงเทพฯ ได้ค่าแรงวันละ 250 บาท
พ่อกับแม่บอกให้ฉันดูแลตัวเองให้ดีฉันมาอาศัยอยู่ในบ้านพักคนงานแถวลาดกระบังเพื่อเป็นกรรมกรก่อสร้าง เมื่ออายุได้ 15 ปีและมีบัตรประจำตัวประชาชน ฉันจึงสมัครงานโรงงานซึ่งให้รายได้ดีเพราะทำงานรอบกลางคืนและขยันทำโอที เงินเดือนที่ได้มาหมดไปกับการเที่ยว ดื่มเหล้ากับเพื่อนฝูง ซึ่งทำให้ฉันได้รู้จักกับผู้ชายคนหนึ่ง
เขาเป็นเด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้ง แม้ภายหลังจะกลับมาอยู่กับพ่อแม่ แต่ก็ยังรู้สึกต่อต้านและไม่ไว้วางใจพ่อแม่ของตัวเองทุกครั้งที่เขาตัดพ้อถึงชีวิตที่รันทด ทุกครั้งที่เขาร้องไห้เสียใจเพราะเรื่องในวัยเด็ก ฉันเข้าใจความรู้สึกเขาเป็นอย่างดี เราชอบพอจนคบหากันเป็นแฟน และคิดว่าความเข้าใจ ความเห็นใจที่มีต่อกันมากจะสามารถสร้างครอบครัวขึ้นมาได้
ฉันย้ายมาอยู่กับครอบครัวของสามีซึ่งเปิดร้านขายของชำ เพราะคิดว่าจะทำให้เราช่วยกันสร้างเนื้อสร้างตัวได้เร็วขึ้น แต่เมื่ออยู่ด้วยกัน ชีวิตคู่กลับตกต่ำ เมื่อเขาเริ่มเสพยาบ้าจนไม่สามารถทำงานได้และยังตามไปหึงหวงฉันถึงที่ทำงานจนฉันต้องลาออกจากงาน
เมื่อไม่มีรายได้ ฉันกับสามีก็ยิ่งทะเลาะกัน ฉันเครียดจนบางวันไม่อยากพูดกับใครเลย และฉันก็เลือกหลีกหนีความทุกข์ความกังวลไปชั่วคราวด้วยการร่วมเสพยาบ้ากับสามี แม้ต่อมาฉันจะตั้งท้อง แต่ก็ยังไม่เลิกเสพยา จนกระทั่งคลอดลูก ทันทีที่เห็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเอง น้ำตาของฉันก็ไหลอาบแก้ม เขาทำให้ฉันมีความหวัง ฉันเสพยาน้อยลงเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็เลิกขาด
ฉันกลับไปทำงานโรงงานอีกครั้งเพราะอยากมีเงินไว้เลี้ยงดูลูก แต่สามีก็ยังตามไปอาละวาดหึงหวงจนฉันต้องลาออกจากงานอีกครั้ง ฉันจึงไปรับจ้างเลี้ยงเด็กอ่อนและช่วยพ่อแม่สามีขายของชำอยู่ที่บ้าน ฉันกับสามียังคงทะเลาะกันเป็นประจำ เมื่อรู้ว่าตัวเองตั้งท้องลูกคนที่สองได้สองเดือน ฉันรวบรวมความกล้าบอกกับสามีว่า
“เลิกยาเถอะ เพื่อลูกนะ”
“มึงมันพูดไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวกูฆ่าให้ตายเลย”
เขาสวนกลับมาด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยวก่อนลุกไปหยิบมีดจากครัวจะมาฟันฉันต่อหน้าลูกสาววัยขวบเศษที่ยังพูดไม่ได้และนั่งเล่นอยู่ใกล้ ๆ นาทีที่เขาเงื้อมีดจะฟันลงมาที่ตัวฉัน ลูกน้อยก็วิ่งเข้ามากอดขาฉันพร้อมกับกรีดร้องลั่นบ้าน สามีชะงักไปชั่วขณะ ฉันรีบอุ้มลูกหลบเข้าไปในห้องนอน
ขณะที่ฉันกำลังร้องไห้และกอดปลอบลูกอยู่ในห้อง สามีก็พังประตูห้องเข้ามากระชากตัวฉันออกจากลูกและลากฉันไปหน้าบ้าน ขณะที่เขากำลังง้างเท้าจะกระทืบฉัน เพื่อนบ้านก็เข้ามาห้ามและบอกให้ฉันหลบไปอยู่ที่วัดใกล้บ้านและปล่อยให้สามีสงบสติอารมณ์อยู่ที่นี่
ฉันหลบอยู่ที่วัดจนพ่อแม่สามีกลับมาบ้านแล้ว แต่แม่สามีกลับต่อว่าฉันว่าไม่อยู่ดูแลร้านค้า ฉันจึงพาลูกสาวหนีไปอยู่บ้านเพื่อน แต่อยู่ได้เพียงสามวัน สามีก็พาพ่อแม่มาตามฉันกับลูกกลับบ้าน ฉันยืนยันว่าจะไม่กลับไปอีก สามีกับฉันแย่งลูกกันพัลวัน ลูกร้องไห้โยเย ส่วนพ่อแม่สามีก็ด่าทอต่อว่าฉันอยู่หน้าบ้านเพื่อนว่า
“ตัวเองยังไม่มีปัญญาเลี้ยง เ-ือกจะเอาลูกไปด้วย แม่ดี ๆ ที่ไหนเขาทำกัน”
สุดท้ายฉันต้องปล่อยให้ลูกกลับไปอยู่กับครอบครัวของสามี ส่วนฉันไม่กลับไปด้วย เพราะไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมอีกต่อไป ที่สำคัญกว่านั้นคือ กลัวว่าลูกในท้องอีกคนจะเป็นอันตราย หลังจากอยู่บ้านเพื่อนได้ไม่นาน ฉันก็ขอความช่วยเหลือจากศูนย์ประชาบดี จึงได้เข้ามาพักพิงที่สมาคมส่งเสริมสถานภาพสตรีฯจังหวัดปทุมธานี
การอยู่ห่างจากสภาพแวดล้อมเดิมทำให้ฉันมีสติ คิดทบทวนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต ฉันคิดถึงพ่อกับแม่บุญธรรมที่เลี้ยงฉันมา ไม่ว่าที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร ท่านก็ห่วงใยฉันอย่างแท้จริง เมื่อออกมาอยู่เอง ฉันจึงรู้ว่าจะหาคนที่หวังดีจริง ๆ ได้ยากเต็มที
เรื่องสามี ฉันสรุปได้เพียงว่า ฉันเริ่มต้นชีวิตคู่กับเขาด้วยความสงสาร แต่เราไม่ได้รักและหวังดีต่อกัน ฉันสงสารเขามากเกินไปจนกระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเอง
ฉันลูบคลำท้องที่ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะเดียวกันก็คิดถึงลูกสาวที่อยู่กับสามีและรู้สึกเสียใจหากวันหนึ่งข้างหน้าลูกจะคิดว่าฉันตั้งใจทอดทิ้งเขาไป ฉันอยากบอกเขาว่า ไม่ว่าพ่อแม่ของเขาจะเลวร้ายเพียงใด แต่เขาเกิดจากความรักอย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดก็ความรักจากแม่คนนี้ที่อุ้มท้องเขามาด้วยความยากลำบากทุกคืนฉันภาวนาขอให้ลูกเห็นคุณค่าของตัวเองและไม่ตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตที่ผิดพลาดเฉกเช่นฉันและสามี
สำหรับพ่อแม่ที่แท้จริงซึ่งฉันโหยหามาทั้งชีวิตนั้น ฉันอยากบอกท่านว่าฉันรักท่านแม้ว่าเราจะไม่เคยเห็นหน้ากันเลยก็ตาม และเมื่อมีลูก ฉันเข้าใจแล้วว่า บางครั้งชีวิตก็ไม่มีทางเลือก ท่านคงมีเหตุผลของท่าน และที่สำคัญ เรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้
“ฉันเป็นเด็กที่ถูกทิ้ง” นั่นคือความทรงจำที่เลือกจำเพียงด้านเดียวซึ่งทำให้ฉันเจ็บปวดเสมอมา แต่ความจริงอีกด้านหนึ่งที่ฉันลืมไปก็คือ เมื่อเกิดมา ฉันมีชีวิตเป็นของตัวเอง ฉันกับพ่อและแม่เป็นคนละคนกัน และที่สำคัญ “ไม่มีใครเกิดมาเพื่อเดินตามรอยเท้าที่ผิดพลาดของใคร”
ฉันจะหมั่นย้ำประโยคนี้กับตัวเองทุกวัน…
ดับทุกข์ทางโลกด้วยธรรมะ ข้อคิดจากพระครูธรรมธร ดร.สาคร สุวฑฺฒโน
มองชีวิตที่เคยผิดพลาดให้เป็นครู…มองชีวิตที่เหลืออยู่ให้เห็นโอกาสความผิดพลาด ความไม่สมหวัง คือ ต้นตอความทุกข์ของชีวิตที่ผ่านมาการยึดติดกับความทุกข์ในวันวานนั้นอาจทำให้เราสูญเสียวันพรุ่งนี้ เมื่อโยมท่านนี้มาถึงวันที่คิดได้ นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีของการเริ่มต้นชีวิตใหม่ การยึดติดความทุกข์ในอดีตไม่เคยช่วยให้วันพรุ่งนี้ของเราดีขึ้นได้ หากแต่การปรับความคิด ปรับจิตใจให้มีสติตื่นรู้อยู่กับปัจจุบัน ไม่ปล่อยจิตใจให้แกว่งไปกับความทุกข์ที่เราฉุกคิด ไม่ปล่อยให้ความทุกข์เข้ามาทำร้ายเราทุกครั้งที่เราคิดขึ้นมา นี่คือการก้าวผ่านความทุกข์ในขั้นต้น และจงเริ่มต้นชีวิตใหม่ ให้โอกาสตัวเองนับจากนี้ด้วยการคิดใหม่ ทำใหม่
การคิดใหม่คือการดับทุกข์ทางใจคิดแต่ในทางดี ไม่ปรุงแต่งจิต อยู่กับปัจจุบันขณะ และปล่อยวางสิ่งที่นึกคิดตอกย้ำอยู่ตลอด คิดถึงเป้าหมายในชีวิตให้มากขึ้นด้วยความมีสติเพื่อให้เกิดปัญญาและลงมือทำ
การทำใหม่คือการดับทุกข์ทางกายคิดแล้วลงมือทำด้วยสติ ดำเนินชีวิตไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ แม้อาจเป็นการก้าวไปอย่างช้า ๆ ที่ยังไม่พบจุดที่ดีที่สุด แต่ชีวิตจะดีขึ้นในทุกวันอย่างแน่นอน จึงขอให้มีกำลังใจในการใช้ชีวิตเพื่อให้ตนเองแข็งแกร่ง สามารถดูแลทั้งชีวิตตนเองและลูกน้อยที่กำลังจะเกิดมาบนโลกใบนี้
“จิต เงียบลง ปลง คิดได้…ใจ นิ่งไว้ มองเห็น ชัดเจน”
เรื่อง สาวช่างยนต์ เรียบเรียง Ametal