น้ำเป็นเหตุ – ผลกรรมที่ทำกับมด
เมื่ออายุประมาณเจ็ดขวบ กิจกรรมอย่างหนึ่งที่ฉันชอบทำเป็นประจำคือการเล่นกับสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นสุนัข แมว ลูกเจี๊ยบ หรือแม้กระทั่งสิ่งมีชีวิตตัวจิ๋วอย่างมดแดง
ช่วงเรียนอยู่ชั้น ป. 1 ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์แม่มักจะพาฉันกับน้องชายไปเดินเล่นในสวนสาธารณะใกล้บ้าน กระทั่งวันหนึ่งขณะที่ฉันกับน้องชายกำลังเดินทอดน่องไปตามแนวขอบสนามหญ้ารูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่อยู่นั้น พลันก็เหลือบไปเห็นมดแดงกว่าร้อยตัวกำลังเดินเรียงแถวผ่านหน้าฉันไป จึงเกิดความคิดว่าอยากจะจับเจ้ามดพวกนั้นมาเล่นอะไรสนุก ๆ
แล้วแผนการก็เริ่มต้นขึ้น โดยน้องชายของฉันใช้เศษใบไม้แห้งมาล่อมด 3 – 4 ตัว ให้เดินขึ้นมาอยู่บนนั้น จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังอ่างเลี้ยงปลาหางนกยูงขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่พวกเรายืนอยู่ ฉันบอกกับน้องว่า
“วันนี้เราจะพามดมาแข่งขันว่ายน้ำกัน ถ้ามดตัวไหนว่ายน้ำถึงฝั่งก่อนเป็นผู้ชนะ”
เมื่อสิ้นเสียงกรรมการสมัครเล่น ฉันกับน้องชายก็ผลัดกันดีดร่างเล็ก ๆ ของเจ้ามดแดงซึ่งกำลังเดินส่ายหัวไปมาอยู่บนใบไม้แห้งใบนั้นให้กระเด็นตกลงไปในอ่างเลี้ยงปลา พอได้เห็นตัวสีแดง ๆ ของมันดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊กตัดกับสีดำขุ่นเข้มในน้ำราวกับว่าพวกมันกำลังเต้นอยู่กลางฟลอร์ ฉันกับน้องก็ยิ่งรู้สึกสนุกสนานเข้าไปใหญ่
เราสองคนยืนมองท่าทางของมดที่พยายามตะเกียกตะกายว่ายน้ำเข้าหาฝั่งด้วยความขบขัน แต่จนแล้วจนรอดเรี่ยวแรงของเจ้ามดก็ไม่มากพอพยุงร่างกายเล็กกระจิ๋วให้ไปถึงจุดหมาย และในที่สุดร่างของมันก็ค่อย ๆ จมหายลับไปกับสายน้ำ
ต่อมาช่วงปิดเทอมขณะอยู่ชั้น ป. 5 ฉันกับน้องชายไปเที่ยวทะเลด้วยกัน การได้ปล่อยให้ร่างเล็ก ๆ ขยับขึ้น – ลงตามแรงคลื่นช่างเป็นความสุขของเด็กหญิงและเด็กชายยิ่งนัก แต่ไม่ทันระวังตัวเลยว่าคลื่นลูกเล็ก ๆ ที่ซัดผ่านเข้ามานั้นพัดพาร่างของเราสองคนให้ไกลออกไป…ไกลออกไป ไกลเสียจนปลายเท้าของเด็กตัวเล็ก ๆ ไม่สามารถสัมผัสพื้นทรายใต้ทะเลได้
เมื่อรู้ตัวอีกทีศีรษะของฉันก็จมดิ่งไปอยู่ใต้ผืนน้ำกว้างใหญ่นั้นแล้ว ตาทั้งสองข้างเริ่มแสบพร่า ตามมาด้วยรสเค็ม ๆ ของน้ำทะเลที่ผ่านลงคอไปอึกใหญ่ ฉันพยายามใช้มือคู่น้อยว่ายทวนกระแสน้ำเพื่อพยุงตัวเองขึ้นมาอย่างทุลักทุเล เมื่อหันหลังกลับไปหาน้องชาย ก็พบว่าใบหน้าของน้องกำลังผลุบ ๆ โผล่ ๆ เขาก็ทำอะไรไม่ถูกนอกจากพยายามเข้ามาเกาะหลังของฉันไว้
เหตุการณ์เริ่มเลวร้ายลง เมื่อน้ำทะเลพาเราทั้งคู่ออกห่างจากฝั่งมากขึ้นทุกที น้ำหนักของน้องชายยิ่งถ่วงให้ร่างกายของฉันดำดิ่งลึกลงไปกว่าเดิม ฉันได้แต่ใช้มือและขาทั้งสองกวัดแกว่งอยู่ภายใต้แรงคลื่นที่ซัดสาด ปากร้องตะโกนให้คนช่วย แต่ไม่มีวี่แววของใครเลย ตอนนั้นคิดว่าต้องตายแน่ ๆ
ทันใดนั้น ภาพของเหล่ามดแดงตัวเล็ก ๆ ที่ดิ้นกระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ในบ่อเลี้ยงปลาหางนกยูงก็ปรากฏขึ้นในความคิด ภาพที่เจ้าสัตว์ตัวเล็กพวกนั้นใช้ขาของมันตะกุยตะกายอยู่ในน้ำหวังจะเอาชีวิตรอดไม่ต่างจากฉันในเวลานี้
เมื่อได้สติ ฉันพยายามประคองตัวเองและร่างของน้องให้โผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำและรีบว่ายน้ำเข้าหาฝั่งอย่างทุลักทุเล ซึ่งนับว่าโชคดีที่เราสองคนพอมีพื้นฐานจากการเรียนว่ายน้ำมาบ้าง ทำให้รอดพ้นจากเหตุการณ์นั้นมาได้อย่างหวุดหวิด
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ฉันก็เริ่มตระหนักถึงคุณค่าของการมีชีวิต รวมทั้งการเป็นผู้ให้ชีวิต ฉันมักทำบุญด้วยการบริจาคเลือดปีละ 2 – 3 ครั้ง หรือไม่ก็บริจาคเงินช่วยไถ่ชีวิตโค – กระบือ และบางครั้งเมื่อพบเห็นสัตว์ที่ได้รับบาดเจ็บ ฉันจะรีบช่วยเหลือสัตว์น้อยใหญ่เหล่านั้นให้พ้นจากความทรมาน
อย่างไรก็ตาม ฉันรับรู้และเข้าใจว่ากรรมที่เคยพรากชีวิตของเจ้ามดแดงพวกนั้น คงไม่อาจลบล้างได้ด้วยการทำบุญทั้งหมดทั้งปวง แต่อย่างน้อยการได้ทำบุญแม้เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็ทำให้ฉันอิ่มเอมใจทุกครั้งที่ได้หันกลับมาทำหน้าที่ “ให้ชีวิต” แก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อทดแทนบาปกรรมที่เคยก่อไว้เมื่อสมัยเด็ก
เหนือสิ่งอื่นใดฉันต้องขอบคุณเหตุการณ์ในวันนั้น เพราะถือเป็นบทเรียนสำคัญที่ได้ชี้ทางให้เด็กคนหนึ่งได้เรียนรู้และเชื่อเรื่อง “กรรม” อย่างถ่องแท้มาจนถึงทุกวันนี้
ฉันเชื่ออย่างสนิทใจว่า เมื่อคนเราทำสิ่งใด เราย่อมได้รับผลของกรรมที่ก่อไว้เป็นดั่งเงาตามตัว
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง มนัสวี แสงวิเชียรกิจ