นรก – สวรรค์ มีจริงหรือเปล่าครับ และถ้ามีจริง นรก – สวรรค์ อยู่ที่ไหน คนที่นับถือศาสนาอื่นมีสิทธิ์ขึ้นสวรรค์หรือลงนรกเหมือนชาวพุทธไหมครับ
นรก – สวรรค์มีจริงไหม
ถ้าตอบตามหลักฐานที่ปรากฏในพระไตรปิฎกก็คงต้องบอกว่า “มี” แน่นอน
อยู่ที่ไหน
น่าจะอยู่ใน 3 มิติ
(1) มิติจิตใจ
(2) มิติสถานที่ในชีวิตนี้
(3) มิติหลังจากตายแล้ว
นรก – สวรรค์ในมิติจิตใจ คือ สภาวะของจิตใจที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบันขณะ เช่น ถ้ากำลังรู้สึกมีความสุข ความปลอดโปร่งโล่งเบา ร่าเริงเบิกบาน ผ่องใส อิ่มอกอิ่มใจ รวมถึงดีใจ อาการอย่างนี้เองคือสภาวะที่เรียกว่าสวรรค์ ทั้งนี้เพราะ สวรรค์แปลว่า “อารมณ์อันดีเลิศ” ในทางตรงกันข้าม ถ้ารู้สึกเป็นทุกข์ อึดอัดขัดข้อง เดือดเนื้อร้อนใจ โศกเศร้าโศกาดูร หม่นหมอง ร่ำไห้พิไรรำพัน หวาดผวา วิตก ขมขื่นกลืนกล้ำช้ำใจ อยู่ที่ไหนก็หม่นหมองครองโศกเหมือนแบกของหนักเอาไว้ตลอดเวลา นี่คือสภาวะที่เรียกว่านรก ทั้งนี้เพราะ นรกแปลว่า ”สภาวะที่ปราศจากความเจริญ”
สวรรค์หรือนรกซึ่งแสดงผลออกมาที่จิตใจของเราทุกคนในแต่ละขณะจิตอย่างนี้ เรียกง่าย ๆ ว่า “สวรรค์ในอก นรกในใจ”
นรก – สวรรค์ในมิติสถานที่ในชีวิตนี้ คือ สถานที่ใดก็ตามที่คนชั่วกำลังได้รับผลแห่งกรรมชั่วของตนอยู่ในที่นั้น สถานที่เช่นนี้เองคือนรก สถานที่ใดก็ตามที่คนดีกำลังได้รับผลแห่งกรรมดีของตนอยู่ สถานที่เช่นนี้เองคือสวรรค์
นรก – สวรรค์ในมิตินี้อ้างอิงจากเรื่องราวในพระคัมภีร์พระธรรมบท ที่ครั้งหนึ่งพระอรหันต์ชื่อลักษณ์เดินลงจากยอดเขาคิชฌกูฏ ตรงเชิงเขานั้นเอง ท่านเห็นเปรตตนหนึ่งกำลังได้รับทัณฑ์ทรมานอย่างแสนสาหัสด้วยทิพยจักษุ เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้วท่านจึงนำเรื่องนี้ไปกราบทูลให้ทรงทราบ พระพุทธองค์ทรงรับรองว่าพระองค์ก็เคยเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน แต่ที่ไม่ทรงนำมาเล่าก็เพราะไม่อยากให้คนที่ไม่เห็นไม่เชื่อ ต้องมาเสียเวลาทักท้วง อันเป็นการต่อความยาวสาวความยืดไม่รู้จบ จากเหตุการณ์นี้ทำให้เราได้ข้อสรุปว่า นรก – สวรรค์ในมิติสถานที่เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงในชีวิตนี้ ปัญหาก็มีเพียงแต่ว่า เราไม่สามารถมองเห็นสถานที่เหล่านั้นด้วยตาเนื้อ เพราะเราไม่มีทิพยจักษุนั่นเอง ใครอยากเห็นต้องพัฒนาตนจนมีทิพยจักษุให้ได้เสียก่อน
นรก – สวรรค์ในมิติหลังจากตายแล้ว คือ สภาพชีวิตที่เราแต่ละคนได้ประสบในภพนั้น ๆ หลังจากล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ข้อนี้อ้างอิงจากข้อความที่พบบ่อย ๆ ในพระไตรปิฎกว่า “…เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก เขาย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ หรืออบายทุคติ วินิบาต...” ถ้านรก – สวรรค์ในมิติหลังจากตายแล้วไม่มีอยู่จริง ข้อความเช่นนี้ก็คงไม่ปรากฏทั่วไปในพระไตรปิฎกเป็นแน่ เช่นเดียวกัน หากนรก – สวรรค์ไม่มีอยู่จริง คนทำชั่วในชีวิตนี้ที่เราเห็นกันอยู่แล้วว่า ทำชั่ว แต่กลับได้ดีมียศ ทรัพย์ อำนาจล้นฟ้า ดังนั้นถ้าชาติหน้าไม่มีจริง ก็หมายความว่าทำชั่วได้ดีมีอยู่จริง และกฎแห่งกรรมก็คงใช้ไม่ได้
วันเวลาในชีวิตของเราชาติหนึ่งนี้สั้นเกินไปที่จะทำให้เราได้เห็นการแสดงตัวของผลแห่งกรรมได้อย่างครบถ้วน ดังนั้นผลแห่งกรรมดีและชั่วนั้น บางอย่างจึงถูกยกยอดไปในภพหน้าด้วย เรื่องนี้มีกรณีของพระนางสามาวดีเป็นอุทาหรณ์ เรื่องมีอยู่ว่า ในอดีตชาติพระนางสามาวดี ชายาของพระเจ้าอุเทนแห่งนครโกสัมพี เคยเป็นธิดาเศรษฐี วันหนึ่งไปเล่นน้ำในแม่น้ำ ขึ้นจากน้ำแล้วหนาวมากจึงให้บริวารก่อไฟผิงกาย ระหว่างนั้นเองไฟได้ลามไปไหม้ป่าและในป่านั้นมีพระธุดงค์อรหันต์บำเพ็ญจิตภาวนาอยู่พอดี ท่านถูกไฟคลอกมรณภาพไปในคราวนั้น
พอไฟดับ ธิดาเศรษฐีเห็นซากของท่านเหลืออยู่ เกิดกลัวความผิด จึงสั่งให้บริวารจุดไฟเผาซ้ำอีกครั้งหนึ่ง จนร่างของพระอรหันต์ป่นเป็นผงคลีธุลีดิน จากนั้นนางจึงกลับบ้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ด้วยเศษกรรมนั้นเอง (ซึ่งในชาตินั้นไม่ทันให้ผล) มาในปัจจุบันชาติ แม้พระนางจะมีบุญได้เป็นถึงพระชายาของกษัตริย์ ทั้งยังเป็นสาวิกาของพระพุทธเจ้าที่เป็นพระอริยบุคคลอีกต่างหาก แต่เมื่อกรรมนั้นตามมาทัน วันหนึ่งพระนางก็ถูกคู่อริจ้างคนร้ายมาเผาตำหนัก ทำให้พระนางต้องสิ้นพระชนม์ท่ามกลางกองไฟ ภิกษุทั้งหลายเห็นว่าคนดี ๆ อย่างพระนางทำไมตายอย่างน่าสมเพชเช่นนี้ เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบแล้วจึงตรัสว่า ”หากมองกันแต่เพียงชาตินี้ พระนางก็สิ้นพระชนม์อย่างน่าสมเพช แต่หากมองไปยังชาติที่แล้วก็จะเห็นว่า พระนางสิ้นพระชนม์ไปสาสมกับกรรม (ชั่ว) ที่ทำเอาไว้แล้ว”
คนส่วนใหญ่เห็นชีวิตคนแต่เพียงในชาตินี้ ที่บางทีทำดีแล้วชีวิตก็ยังแย่ ทำชั่วแล้ว แต่ชีวิตกลับรุ่งโรจน์ แล้วพานสรุปเอาง่าย ๆ ว่า ทำดีไม่เห็นได้ดี ทำชั่วก็ไม่เห็นว่าความชั่วจะตามรังควาน จากนั้นจึงไม่กลัวบาปกลัวกรรม ซ้ำบางทียังคิดวลีเด็ด ๆ มาหลอกคนอื่นให้เห็นผิดเป็นชอบว่า “ทำดีได้ดีมีที่ไหน ทำชั่วได้ดีมีถมไป” คนเหล่านี้ หากเขามารู้ความจริงอย่างแจ่มแจ้ง เหมือนที่พระพุทธองค์ทรงทราบแล้วละก็ เขาจะต้องเสียใจที่ไม่เชื่อในเรื่องนรก – สวรรค์และกฎแห่งกรรม
หากเรายอมรับว่า เรื่องนรก – สวรรค์เป็นความจริงสากลที่มีอยู่เองตามธรรมชาติ ก็เป็นอันมั่นใจได้ว่า คนทุกคนไม่ว่าจะนับถือศาสนาอะไร ถ้าทำดีก็ต้องขึ้นสวรรค์ และหากทำชั่วก็ต้องตกนรกเสมอกันอย่างแน่นอน อุปมาดั่งไฟที่ร้อนเสมอกันทั้งคนที่เชื่อว่าไฟร้อนและคนที่ไม่เชื่อว่าไฟร้อน แต่พอเอามือไปจี้ไฟ เขาย่อมรู้ด้วยตัวเองว่า ไฟ…ถึงอย่างไรก็ร้อนเสมอต้นเสมอปลายจริงๆ โดยที่ไม่เกี่ยวกับความเชื่อหรือไม่เชื่อของใครเลย
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ว.วชิรเมธี
บทความน่าสนใจ
หนูน้อยส่งจดหมายถึงพ่อบนสวรรค์ ไปรษณีย์อังกฤษตอบจดหมายกลับมาอย่างน่ารัก
วิธีการทรมานสัตว์นรกที่เคยทำบาปแบบต่าง ๆ
เทวดาในสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา เทวดาที่อยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ที่สุด ที่เราควรรู้จัก