จากเด็กแสบที่เคยทำพ่อแม่เสียใจ สู่ชีวิตที่คิดได้เมื่อเข้าถึงความเป็นพุทธของ ท็อป จรณ โสรัตน์
“โชคดีแค่ไหนแล้วที่ชาตินี้ได้เกิดมาเป็นมนุษย์สำคัญที่พ่อแม่ เพราะถ้าไม่มีท่านก็ไม่มีเรา เมื่อเติบใหญ่จงอย่าลืมทดแทนคุณแต่ถ้ายังทำไม่ได้ก็อย่าทำให้ท่านทุกข์ อย่าทำให้ท่านเสียใจ “
สิ้นเสียงเทศน์สอนนาค ผมหรือนาคท็อป ณ ตอนนั้นก็ถึงกับสะกดอารมณ์ไม่อยู่“น้ำตาร่วง” ต้องรีบก้มหน้าลง เอามือเช็ดเป็นพัลวัน เพราะไม่อยากให้ใครเห็นว่าผมกำลังร้องไห้ น้ำตาที่ร่วงในวันนั้นไม่ใช่แค่ซาบซึ้งใจแต่เพราะผมรู้สึกผิดที่เคยทำให้แม่ร้องไห้ เคยทำให้พ่อเสียใจมาหลายต่อหลายครั้ง…เรื่องมีอยู่ว่า
ผมเติบโตมาในครอบครัวทหาร ดังนั้นคุณแม่จึงต้องเข้มงวดและกวดขันลูกๆ มากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะลูกชายคนโตอย่างผม “ยิ่งโดนหนัก” นัยว่าต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้น้อง ตอนนั้นสิ่งที่คุณแม่ย้ำเสมอๆ คือเรื่องระเบียบวินัย โดยเฉพาะการแต่งกายที่ถึงขั้น “เป๊ะเว่อร์” เช่น ผมต้องตัดให้สั้น ดูสะอาดตาเสมอ ถ้าออกจากบ้านก็ต้องเอาเสื้อใส่ในกางเกง ใส่ถุงเท้าและรองเท้าผ้าใบทุกครั้งห้ามใส่รองเท้าแตะเด็ดขาด นอกนั้นก็มีเรื่องสำคัญๆ อย่างเช่น เสาร์ – อาทิตย์ห้ามไปเที่ยวเล่น ห้ามไปนอนค้างบ้านเพื่อน
ด้วยข้อจำกัดมากมายนี่เองที่ทำให้ผมเริ่มรู้สึกว่า ตัวเองเป็นเด็กเก็บกดหน่อยๆ ดังนั้นพอถึงโรงเรียน ไกลหูไกลตาคุณพ่อคุณแม่ปั๊บผมก็รีบสลัดกรอบพวกนี้ออกจนหมด ตอนนั้นคิดแบบเด็กๆ ว่า “เกเร” แล้วเท่ชะมัด เพื่อนที่ผมเลือกคบจึง ออกแนวนี้หมดเลย เราจะพากันไปนั่งหลังห้อง นั่งคุย นั่งเล่น โดดเรียน ฯลฯ
พฤติกรรมนี้ค่อยๆ หนักขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งผมขึ้นชั้น ม. 3 กำลังเป็นวัยรุ่นคะนองได้ที่เลย ผมก็เริ่มอยากไปค้างบ้านเพื่อนเหมือนคนอื่นๆ บ้าง จึงรวบรวมความกล้าไปขออนุญาตคุณแม่ แล้วก็เป็นอย่างที่คิดเอาไว้คือ คุณแม่ปฏิเสธอย่างเดียว แต่ผมก็ดื้อ ยืนกรานจะไปให้ได้
เราสองแม่ลูกโต้เถียงกันแรงขึ้นเรื่อยๆ ร้อนถึงคุณพ่อต้องเข้ามาห้าม แต่ตอนนั้นผมของขึ้น เสียแล้ว อะไรก็ฉุดไม่อยู่ จนถึงขั้น “ง้างหมัด” จะชกหน้าคุณพ่อ!
คุณพ่อถึงกับฉุนขาดเลยครับ ท่านตะโกนใส่หนาผมว่า “ฉันเลี้ยงแกมา ตามใจแกทุกอย่าง แกจะทำกับฉันอย่างนี้เหรอ” เท่านั้นเอง ดีกรีความโมโหของผมที่กำลังพุ่งปรี๊ดๆ ก็ลดลงทันทีด้วยความรู้สึกผิดรีบกราบขอโทษท่านทั้งสองยกใหญ่ สุดท้ายพ่อแม่ก็ให้อภัย ตอนนั้นผมคิดแบบเด็กๆว่า ดีกันแล้วก็จบ ไม่ติดใจอะไร แต่ปรากฏว่าตอนหลังเรื่องนี้ยังค้างคาใจผมมาตลอดเพราะมารู้ตอนโตว่า แค่คนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ลูก” คิดไม่ดี พูดไม่ดีกับพ่อแม่ก็บาปแล้วแต่นี่ผมเกือบเคย “ทำร้าย” พ่อแท้ๆ มาแล้วผมเลยรู้สึกผิดและรู้สึกทุเรศตัวเองสุดๆ
ที่น้ำตาผมร่วงตอนเทศน์สอนนาคส่วนหนึ่งก็เพราะเรื่องนี้
เรื่องแสบๆ วัยเด็กของผมยังไม่จบ เพราะหลังจากนั้นพอขึ้นชั้น ม. 4 เทอมหนึ่งผมก็โดดเรียนมากขึ้นถึง 6 คาบเรียนต่อวันและแล้วเทอมนั้นเกรดเฉลี่ยของผมก็ตกต่ำลงอย่างหนักจนถึงขั้น “ได้อาย” ทั้งผมแลพคุณแม่ เมื่อเป็นอย่างนี้ ผมจึงเกิดแรงฮึดว่า “เอาวะ เราต้องกลับมาตั้งใจเรียน เปลี่ยนตัวเองใหม่ ต้องทำให้ได้”
ด้วยความตั้งใจ ในที่สุดเกรดเฉลี่ยเทอมสองก็ดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา คุณแม่ก็สบายใจมากขึ้น ทุกอย่างดูจะไปได้ดี แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นมาอีกจนได้ เมื่อคุณแม่จับได้คาหนังคาเขาว่า “ผมโดดเรียนพิเศษ” วันนั้นคุณแม่ผิดหวังในตัวผมมาก ถึงกับร้องไห้และพูดกับผมว่า “ถ้าท็อปไม่อยากเรียนพิเศษ ทำไมไม่บอกแม่”
ทันทีที่เห็นน้ำตาของแม่ ผมถึงกับอึ้งไป พูดอะไรไม่ออก ได้แต่พูดและกราบขอโทษแม่อย่างเดียว พร้อมกับสัญญากับตัวเองว่า จะไม่ทำให้คุณแม่ต้องร้องไห้หรือเสียใจเพราะผมอีกแล้ว จากนั้นผมก็พยายามตั้งใจเรียนเรื่อยมาจนเอนทรานซ์เข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังได้
พอเรียนจบปั๊บ คุณแม่ก็ชวนให้บวช ตอนนั้นผมรู้สึกว่า ใจยังไม่พร้อมเท่าไหร่ แต่ด้วยความที่ไม่อยากขัดใจคุณแม่อีกผมจึงตกลงบวชที่วัดป่าแห่งหนึ่งในจังหวัดลพบุรี
การบวชครั้งนี้นอกจากทำให้คุณพ่อคุณแม่มีความสุขแล้ว ยังมีเรื่องเหลือเชื่อเกิดขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น พอผมนั่งพับเพียบเพื่อทำสมาธิหรือสวดมนต์ทีไรก็จะปวดร้าวที่หัวเข่าทั้งสองข้างทุกครั้ง ปวดจนถึงขั้นเดินกะเผลกๆ ทั้งๆ ที่ก่อนบวชนั้นผมสามารถนั่งพับเพียบได้สบายๆ (แถมพอสึกแล้วก็ยังนั่งได้สบายๆ ไม่เคยปวดเข่าเลย) เท่านั้นยังไม่พอ ช่วงบวชใหม่ๆ ผมยังป่วยหนักถึงขั้นไม่สามารถจำวัดที่กุฏิได้ ต้องกลับไปรักษาตัวที่บ้านนานเป็นสิบวัน เรียกว่าเป็นการป่วยที่หนักที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ แต่ที่น่าแปลกคือ ระหว่างป่วย ผมกลับมีความรู้สึกว่า ยิ่งป่วย เรายิ่งต้องพยายามปฏิบัติ อย่าเอาแต่นอนผมจึงพยายามลุกขึ้นมานั่งสมาธิ สวดมนต์ เดินจงกรมเท่าที่จะทำได้ ซึ่งทำให้คลายความเจ็บป่วยทางกายลงได้อย่างประหลาด
ผมไม่รู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้คืออะไรเป็นวิบากกรรมที่ต้องชดใช้หรือเปล่าก็ไม่รู้แต่สุดท้ายผมก็ผ่านมันมาได้ และกลับมาฝึกปฏิบัติที่วัดต่อไปจนกระทั่งครบกำหนดบวช 26 วัน
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่สุดที่ผมได้มาก็คือ “การบวชเปลี่ยนชีวิตผม” เปลี่ยนจากชีวิตที่ไม่น่าเรียกได้ว่าเป็นคนพุทธ (ข้อนี้อายมาก) ให้เป็นชีวิตที่เริ่ม “เข้าถึง” ความเป็นพุทธมากขึ้น ผมได้รู้ว่าการเป็นพุทธไม่ใช่แค่ใส่บาตร ถวายสังฆทานแล้วจบ แต่ยังมีการ “ปฏิบัติภาวนา” ซึ่งเป็นการทำบุญที่มีอานิสงส์สูง สุอีกด้วย
ผมยังได้รู้ว่า ศาสนาพุทธเป็นที่พึ่งทางใจที่เยี่ยมยอดของทุกๆ คน ถ้ารู้จักน้อมนำมาใช้ในชีวิต ไม่ว่าจะเรื่องการมีสติ การไม่จมอยู่กับอดีต ไม่วิตกกังวลถึงอนาคต และการอยู่กับปัจจุบัน
หลังจากสึกมาแล้ว ผมยังหาโอกาสกลับไปปฏิบัติธรรมอีกหลายครั้ง เพราะตั้งใจอยากศึกษาศาสนาพุทธให้มากขึ้นส่วนคุณพ่อคุณแม่ ท่านก็ภูมิใจในตัวผมมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งความประพฤติ ทั้งหน้าที่การงาน…
ไม่มีทางที่ผมจะทำให้ท่านเสียใจอีกแล้วครับ
Secret Box
อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับความเป็นจริง อย่าอยู่กับคำว่า “ถ้า” เพราะมันมีทั้ง “ยังมาไม่ถึงหรือไม่ก็…ผ่านไปแล้ว”
ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 141
เรื่อง : ท็อป – จรณ โสรัตน์
ผู้เขียน/เรียบเรียง : วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์
ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี
บทความน่าสนใจ
3 พระเอกหนุ่ม ผู้ดำเนินชีวิตด้วยธรรมะ
อโนเชาว์ ยอดบุตร อดีตพระเอก เสียชีวิตอย่างสงบ หลังเป็นเจ้าชายนิทรามา 34 ปี
ชีวิตนอกจอของ อาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา พระเอกตลอดกาล