ถ้าไม่ถูก “หลอก” วันนั้น ผมก็คงไม่มีวันนี้ อั้ต อัษฎา พานิชกุล
“ปิดเทอมนี้กลับไปเยี่ยมคุณยายที่เมืองไทยหน่อยนะลูก อั๊ตไม่ได้กลับไปหลายปีแล้วนะ” ด้วยคำขอของคุณแม่ทำให้ผม อั้ต อัษฎา พานิชกุล ต้องเก็บกระเป๋าบินเดี่ยวกลับเมืองไทยในอีกไม่กี่วันต่อมา โดยไม่ได้คาดคิดมาก่อนเลยว่าการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้จะ “เปลี่ยนชีวิต” ผมไปตลอดกาล
ทันทีที่ถึงเมืองไทย ลุงกับป้าก็ยึดพาสปอร์ตของผมไปเก็บแบบเนียนๆ ด้วยเหตุผลว่ากลัวผมทำหาย ไม่ว่าจะพยายามทวงคืนอย่างไร ท่านก็ไม่ยอมคืนให้ ผมนึกเอะใจเลยโทร.ไปถามแม่ที่แคลิฟอร์เนีย แม่เฉลยความจริงให้ฟังว่า “อยากให้อั๊ตกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะแม่กลัวว่าถ้ายังอยู่อเมริกาต่อไป ลูกจะมีความเป็นอเมริกันมากไปกว่านี้”
พอรู้ว่าถูกหลอกให้กลับมาจริงๆ ผมรู้สึกโกรธจัด ขว้างโทรศัพท์ทิ้งต่อหน้าลุงกับป้าทันที เพราะอีกแค่ปีเดียวผมก็จะอายุ 18 ด้วยอายุขนาดนี้ ถ้าเป็นฝรั่งนั่นหมายความว่า ผมเป็นผู้ใหญ่สามารถย้ายออกมาใช้ชีวิตเองได้แล้ว แต่แม่กลับตัดโอกาสนั้นลงด้วยการส่งผมมาอยู่ที่เมืองไทยแทน
ความรู้สึกตอนนั้นไม่ต่างจากคนถูกทิ้งเลยครับ เพราะที่นี่ผมไม่มีเพื่อน ไม่มีสังคม แม้แต่จะติดต่อกับเพื่อนๆ ที่นู่นก็ลำบากเพราะสมัยนั้นทำได้แค่เขียนจดหมาย ส่งโทรเลข และโทรศัพท์บ้านเท่านั้น ครั้นจะพูดคุยกับญาติๆ ที่นี่ กว่าจะพูดภาษาไทยออกมาได้สักประโยค ผมก็ต้องใช้เวลาเรียบเรียงอยู่นาน
ความอึดอัดเหล่านี้แสดงออกมาอย่างชัดเจนทั้งกิริยาท่าทาง คำพูดที่ก้าวร้าว บางทีก็อาละวาดโวยวาย แต่ถึงอย่างนั้นลุงกับป้าและญาติๆ ก็พยายามอดทนใจเย็น และไม่เคยปริปากบ่นสักคำ
ผมอยากกลับไปแคลิฟอร์เนียใจจะขาด แต่ติดอยู่ที่ยังไม่มีค่าตั๋วเครื่องบินเลยสักบาท อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า 2-3 ปีก่อนเคยมีโมเดลลิ่งมาทาบทามผมให้ไปถ่ายแบบ ผมจึงติดต่อกลับไปยังโมเดลลิ่งแห่งนั้น ด้วยความหวังเล็กๆ ว่า ถ้าโชคดีได้งานสักชิ้นสองชิ้นผมก็จะมีเงินซื้อตั๋วเครื่องบินกลับแคลิฟอร์เนียโดยไม่ต้องง้อใคร
วงการบันเทิงไทยในช่วงนั้นกำลังนิยมลูกครึ่ง โชคดีว่าถึงผมจะเป็นคนไทยแท้ๆ แต่หน้าตาและบุคลิกดูคล้ายลูกครึ่ง จึงทำให้ได้งาน แต่โชคดีของผมยังไม่จบแค่นั้น เพราะการทำงานในวงการนี้ทำให้ผมได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้เจอผู้ใหญ่ใจดีหลายคน นั่นทำให้ผมเริ่มมีเพื่อน มีสังคม และรู้สึกว่าชีวิตไม่โดดเดี่ยวอีกต่อไป
ที่สำคัญกว่านั้นคือ การทำงานและคลุกคลีกับคนไทยมากขึ้นทำให้มุมมองของผมเริ่มเปลี่ยนไป
จากแต่ก่อนที่เป็นอเมริกันจ๋า มั่นใจในตัวเองสูง (มาก) ว่า กูรู้ทุกอย่าง กูเจ๋ง รู้สึกยังไงก็พูดโพล่งออกมาโดยไม่แคร์อะไรทั้งนั้น บุคลิกแบบนี้แตกต่างจากคนไทย เพราะคนไทยจะฟังมากกว่าพูด อ่อนน้อมถ่อมตัว และไม่ก้าวร้าวกับผู้ใหญ่
อย่างไรก็ดี ความเป็นอเมริกันก็ไม่ได้ย่ำแย่ไปทั้งหมด เพียงแต่ถ้าให้ดี ผมต้องนำข้อดีของวัฒนธรรมทั้งสองแบบมาปรับใช้อย่าง “พอดี” ถึงจะดีที่สุด เมื่อเข้าใจโลกมากขึ้น ผมก็มีความสุขกับการใช้ชีวิตในเมืองไทยเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความคิดเรื่องกลับไปอยู่แคลิฟอร์เนียเริ่มจางหายไป ผมไม่โวยวายใส่แม่ หรือลุงกับป้า เพื่อเรียกร้องเรื่องเดิมๆ อีกเลย
หลังจากอยู่เมืองไทยครบ 3 ปี ผมก็มีโอกาสบินกลับไปเยี่ยมพ่อกับแม่ที่แคลิฟอร์เนียเป็นครั้งแรก น่าแปลกที่แม้ผมจะคิดถึงชีวิตที่นั่น แต่กลับไม่รู้สึกผูกพันหรือโหยหาใดๆ เมื่อถึงกำหนดกลับผมก็กลับมาทำงานที่เมืองไทยต่อ เหมือนกับได้ค้นพบแล้วว่า จริงๆ ฝรั่งก็ไม่ได้เจ๋งอย่างที่เคยคิดเอาไว้
แม้งานในวงการบันเทิงจะกำลังไปได้ดี คิวงานเต็มเอี้ยดแทบไม่มีวันหยุด เรียกว่ากำลังดังสุดๆ ก็ว่าได้ แต่อยู่ๆ ผมก็เริ่มอยากเปลี่ยนชีวิต ลองสร้างเส้นทางชีวิตใหม่ ๆ ดูบ้าง จึงลองไปสมัครเป็น “วีเจ” ดู ด้วยเหตุผล 2 ข้อ
ข้อแรกคือ สมัยนั้นวีเจเป็นงานที่เจ๋งมากๆ เท่และดังสุดๆ แทบไม่ต่างจากดารานักร้องระดับซูเปอร์สตาร์ ข้อสอง ผมอยากลบปมในใจเกี่ยวกับรูปร่างที่เพื่อนฝรั่งชอบล้อเลียนว่า “ไอ้จิ๋ว” บ้าง “เปาะเปี๊ยะท่อนเล็ก” บ้าง บางทีก็ล้อชื่อไทยของผมเป็นชื่ออาหารเม็กซิกัน เช่น อั๊ด – สะ – ดา – คา – ต้า ให้เจ็บใจเล่น ผมเจอการล้อเลียนแบบนี้บ่อยเข้าก็เริ่มกดดัน เครียดจนต้องขออนุญาตแม่เปลี่ยนชื่อเป็นฝรั่ง สุดท้ายผมก็ตั้งชื่อใหม่ให้ตัวเองว่า “เกร็ก” แม้เพื่อนฝรั่งจะเลิกล้อชื่อ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่าพวกเขาไม่ยอมรับอย่างสนิทใจ ผมจึงตั้งใจว่าสักวันต้องทำให้เพื่อนฝรั่งยอมรับในตัวผมให้ได้ ซึ่งไม่ใช่แค่ชื่อ หรือรูปร่างหน้าตา สีผิว แต่หมายถึง “ความสามารถ”
ผมยังคิดไปไกลกว่านั้นอีกว่า ถ้าจะเป็นวีเจแล้ว ผมก็ต้องเป็นวีเจของรายการที่เจ๋งที่สุดด้วย ไม่อย่างนั้นอย่าเป็นดีกว่า ผมจึงตัดสินใจไปสมัครเป็นวีเจของ MTV เอเชีย (MTV NetworksAsia Pacific) ซึ่งเป็นเครือข่ายสถานีโทรทัศน์เน้นทางดนตรีและไลฟ์สไตล์ของวัยรุ่นที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูง มีผู้ชมกว่า 300 ล้านคน โดยมีสำนักงานอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ แต่เมื่อผู้ใหญ่รู้เข้า ก็ขอให้ผมลองทบทวนดูก่อน เพราะอนาคตในวงการกำลังไปได้ดี แต่ตอนนั้นผมมั่นใจเกินกว่าจะถอยเสียแล้ว จึงเดินหน้าส่งเทปการทำงานและเทปแนะนำตัวไปยัง MTV เอเชียทันที
แม้จะถูก MTV ปฏิเสธถึง 2 ครั้ง แต่ผมก็ยังไม่ท้อใจ พยายามฮึดสู้ส่งเทปไปอีกครั้ง และสุดท้ายผมก็ได้รับคัดเลือกให้เป็นวีเจของที่นี่สมความตั้งใจ
ความรู้สึกตอนนั้นดีใจเหมือนได้รับโล่รางวัล แต่ทุกอย่างไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เมื่อต้องเริ่มงานกับทีมงานชาวสิงคโปร์ ผมถูกทีมงานตำหนิแทบทุกวันว่ายังไม่ดีพอ ยังไม่ใช่ ต้องแก้ไขตรงนั้นตรงนี้ แรกๆ ที่ฟังรู้สึกเสียความมั่นใจบ้างว่า “นี่ยังไม่ดีอีกหรือ” แต่ผมก็ไม่ท้อ เพราะกว่าจะได้มายืนอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผมจึงพยายามแก้ไขข้อเสีย ฝึกฝนเพิ่มเติมในส่วนที่ยังด้อยอยู่ จนในที่สุดทีมงานก็ให้การยอมรับ รวมถึงกระแสการตอบรับจากแฟนๆ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ในที่สุดผมก็กลายเป็นวีเจ MTV เอเชียที่ทำงานยาวนานถึง 13 ปี และมีผลงานในวงการบันเทิงสิงคโปร์อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรายการทีวี เล่นละคร ถ่ายแบบ และถ่ายโฆษณา เรียกว่าประสบความสำเร็จมากทีเดียว
หลังหมดสัญญากับ MTV ผมตัดสินใจกลับมาทำงานที่เมืองไทย และเริ่มคิดถึงสิ่งที่แม่เคยขอร้องมาตั้งแต่ผมอายุ 17 – 18 นั่นคือการบวช ซึ่งผมไม่เคยตอบรับอะไรท่านเลย แต่แม่ก็ยังถามผมทุกปี จนกระทั่งเมื่อผมอายุ 30 ปีแล้ว แม่ถึงเลิกถามไปเอง
อย่างไรก็ตาม ชีวิตในวัย 37 ย่าง 38 เป็นช่วงที่ผมเริ่มเห็นเพื่อนๆ สูญเสียพ่อแม่ เริ่มมีเพื่อนป่วย มันทำให้ผมเริ่มคิดว่า “ชีวิตไม่แน่นอน” ถ้าไม่ใช่ผมที่จากไปก่อนก็คงเป็นพ่อแม่หรือน้องชาย ดังนั้นผมต้องรีบบวชเสียที
พอพ่อแม่รู้เข้า ท่านดีใจมาก จัดแจงหาวัดหาฤกษ์กันใหญ่ ที่สุดในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2555 ผมก็ได้บวชสมความตั้งใจที่วัดสระเกศฯ แม้จะเป็นการบวชช่วงสั้นๆ แค่ 15 วัน แต่ชีวิตในผ้าเหลืองก็มอบความสงบ ร่มเย็น และทำให้ผมได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่เพียงเท่านั้น ผมได้เรียนรู้ธรรมะในขั้นที่สูงขึ้น รู้จักการปล่อยวาง ไม่ยึดติด รู้จักมีความสุขกับปัจจุบันขณะ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผมแทบไม่อยากสึกออกมาเลย แต่ก็ทำได้แค่คิด
สิ่งเดียวที่ผมทำได้ในตอนนี้คือการนำธรรมะกลับมาใช้ในชีวิตประจำวันให้ได้ เพราะสุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าการปฏิบัติธรรมไม่ได้อยู่ที่ผ้าเหลือง วัด หรือสำนักอะไร แต่อยู่ที่ “ใจ” ของเราเองต่างหาก
ทุกวันนี้ผมอยากขอบคุณพ่อแม่ ลุงป้า และญาติๆ ที่ช่วยกันวางแผนหลอกล่อผมให้กลับมาอยู่เมืองไทยได้สำเร็จ และยังอดทนกับผมแบบสุด ๆ เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว ผมคงไม่มีโอกาสรู้ว่า “การเป็นคนไทยนั้นน่าภูมิใจขนาดไหน” และอาจพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เป็นฝรั่งมากกว่าแค่เปลี่ยนชื่อก็เป็นได้
บทความน่าสนใจ
เป็น ผู้สูงอายุ อย่างมีความสุข สุขภาพใจแข็งแรง
“รักษากาย วาจา ใจ” เคล็ดลับการใช้ชีวิตของ หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธุ์
มีธรรมครองจิต ชีวิตยืนยาว เรื่องราวการดูแลสุขภาพกาย-ใจดีๆ จาก ชรัส เฟื่องอารมย์
2 วิธี อนุรักษ์ธรรมชาติ สไตล์ชาวพุทธ