“ม่านหมอกแห่งอวิชชา” ธรรมะดี ๆ โดย หลวงพ่อโพธินันทะ
การปลดปล่อยสรรพชีวิตทั้งปวงให้เป็นอิสระเป็นคุณธรรมของวิสุทธิบุคคลและเป็นความก้าวหน้าในการปฏิบัติภาวนา การพำนักอยู่อย่างสันโดษ อย่างไม่หวั่นไหวต่อสิ่งรบกวน มันเป็นวิถีทางปกติธรรมดาสำหรับผู้แสวงหาความหลุดพ้น
ธรรมชาติที่แท้จริงของจิตประภัสสรนั้นสว่างไสวอยู่เหนือถ้อยคำอธิบายที่เต็มไปด้วยทัศนะที่สุดโต่งทั้งสอง ไม่มีการเกิดและการดับ ไม่มีอะไรทำอันตรายมันได้ ไม่สามารถตกแต่งสีสันรูปลักษณ์มันได้ มันเป็นเช่นนั้นเองตามที่มันเป็น ถ้าเราเข้าถึงมัน กาลเวลาจะสิ้นสุดลง
เพราะอวิชชาทำให้เกิดมิจฉาทิฏฐิที่เห็นว่ามีตัวตนเป็นผู้กระทำ และสิ่งที่ถูกกระทำมีอยู่จริง แต่มันเป็นเพียงภาพมายาดั่งเมฆหมอกหรือน้ำลวงตาที่เกิดจากการสะท้อนของเปลวแดดในทะเลทราย ด้วยการอาศัยจักขุวิญญาณที่เกิดจากอวิชชาในระดับจิตสามัญสำนึก
มองภาพเป็นดั่งม่านหมอกที่สังขารปรุงแต่งขึ้น ด้วยกระบวนความคิดที่หลั่งไลมาจากจิตสามัญสำนึกด้วยอวิชชา สร้างกาลเวลาอันหาจุดจบไม่ได้ในสังสารวัฏ มายาภาพทั้งหลายเหล่านี้จึงไม่มีอะไรที่เป็นแก่นสาระของชีวิต
การพิจารณาเห็นโทษภัยของชีวิตที่ถูกร้อยรัดพันธนาของโลกธรรม ๘ ประการ และมหันตภัยของกฎแห่งกรรมในสังสารวัฏ พึงถือเอาดวงแก้วทั้งสามคือพระรัตนตรัยมาเป็นสรณะ
การบำเพ็ญภาวนาบนวิถีของจิตหนึ่งเดียว “เอกายนมรรค”* จึงจะสามารถขจัดเมฆหมอกแห่งอวิชชาลงได้ และบรรลุถึงสุญญตภาวะอันสมบูรณ์ด้วยสัมมาญาณทัศนะ สว่างไสวอยู่ในอาณาจักรที่ไม่อาจสร้างขึ้นหรือทำให้สูญสลายไปได้ ย่อมไม่หวั่นไหวขณะดำรงชีวิตอยู่หรือกำลังจะตาย
*เอกายนมรรค หมายถึง ทางอันเอก คือข้อปฏิบัติอันประเสริฐที่จะนำผู้ปฏิบัติไปสู่ความพ้นทุกข์ (นิพพาน) ได้แก่สติปัฏฐาน ๔ ที่มา : ทีฆนิกาย มหาวรรค…ไตร – เล่มที่ ๒ ข้อ ๓๐๐ หน้า ๒๗๗
ที่มา : ทางสายกลางสู่อิสรภาพแห่งชีวิต โดย หลวงพ่อโพธินันทะ สำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ