ชีวิต ณ จุดศูนย์สุข… สุรางคณา สุนทรพนาเวศ (1)
สุรางคณา สุนทรพนาเวศ กล่าวว่า ในทางโลก การได้ไปยืนอยู่ในจุดสูงสุด…รวยที่สุด เก่งที่สุด สวยที่สุด หล่อที่สุด อาจเป็นสิ่งที่หลายคนปรารถนา
แต่สำหรับบางคน การเกิดมาในโลกนี้ก็เพื่อเรียนรู้ที่จะละทิ้งจากการยึดมั่นถือมั่น ข้าวของเงินทองก็เป็นของชั่วคราว ความสวยงามก็ไม่ใช่สิ่งจีรังยั่งยืน พ่อแม่พี่น้องเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ล้วนเป็นสิ่งสมมุติ ยิ่งทำให้ตัวตนเข้าใกล้คำว่า “ศูนย์” มากเท่าไหร่ ดูเหมือน “ความสุข” ในชีวิตจะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น นี่คือแนวคิดในการใช้ชีวิตของ คุณตา-สุรางคณา สุนทรพนาเวศ ผู้หญิงที่เคยได้ชื่อว่าสวยในลำดับต้น ๆ ของประเทศ โดยมีตำแหน่งอดีตรองนางสาวไทยและอดีตรองสาวแพรวการันตี เธอผ่านมาแล้วหลายบทบาท ทั้งนางแบบ นักแสดง พิธีกรไปร่ำเรียนมาแล้วหลายประเทศ มีดีกรีปริญญาโทจากประเทศญี่ปุ่น และปริญญาเอกจากประเทศอินเดีย
ภาพลักษณ์ภายนอกที่พูดจาฉะฉานหัวเราะเสียงดัง ร่าเริงสดใส อาจทำให้หลายคนคิดไม่ถึงว่า แท้ที่จริงแล้วเธอเป็นคนสนใจใฝ่ในธรรมมากว่า 20 ปีแล้ว ชีวิตที่เป็นศูนย์ในวันนี้ ทำให้เธอเป็นสุขได้อย่างไร เราไปฟังเรื่องราวของเธอด้วยกัน
เติบโตมากับยายที่จังหวัดสุรินทร์
ตอนเด็ก ๆ ตามีชีวิตที่สนุกสนานแก่น ซน ฉลาดแกมโกงมาก แล้วก็เคยพบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เฉียดใกล้ความตายหลายครั้ง
พ่อของตาเป็นวิศวกรจากชลบุรีที่มาพบรักกับแม่ซึ่งเป็นคนสุรินทร์ แต่หลังจากแม่คลอดตาได้ไม่นานพ่อก็จากไปด้วยอุบัติเหตุ แม่จึงหอบลูกเข้ามาเรียนและหางานทำที่กรุงเทพฯ แม่เรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงไปด้วยและทำงานเป็นพนักงานบัญชีในร้านคาเฟ่แถวประตูน้ำไปด้วย ชีวิตของแม่ตอนนั้นลำบากมาก วันหนึ่งเมื่อยายมาเยี่ยมที่กรุงเทพฯ จึงตัดสินใจขโมยตาที่อายุได้เพียง 3 ขวบไปเลี้ยงที่จังหวัดสุรินทร์
ยายเป็นคนจีนกวางตุ้งที่มีญาติพี่น้องมากมาย แต่ละคนก็ทำธุรกิจใหญ่โต แต่ครอบครัวของยายมีฐานะแค่พออยู่พอกิน จังหวัดสุรินทร์ได้ชื่อว่าเป็นเมืองช้าง ตาอาศัยอยู่ในตัวเมืองก็จริง แต่ก็ได้เห็นช้างเดินเล่นมาตั้งแต่เด็ก
ตาเป็นเด็กช่างพูดช่างคุยและกล้าแสดงออกเกินกว่าเด็กวัยเดียวกัน ถ้าอยากได้ตังค์ไปซื้อทอฟฟี่ก็จะเต้นให้ญาติ ๆ ดู
นอกจากนั้นยังชอบเล่นเหมือนเด็กผู้ชายชอบชวนเพื่อนจับกลุ่มกันปั่นจักรยานไปขโมยมะม่วงบ้านคนอื่น และเป็นเด็กที่มีความคิดสร้างสรรค์ เวลาเล่นขายของก็จะตัดกระดาษทำเป็นเงินไว้เล่นกับเพื่อน ส่วนเงินเหรียญก็ทำจากฝาเบียร์ที่นำไปวางให้รถไฟทับจนเรียบแบน แถมยังเป็นเด็กฉลาดแกมโกง วันหนึ่งยายใช้ให้เดินไปซื้อโอเลี้ยง ตาก็เดินไปซื้อ แต่ขากลับแอบดูดจนเกือบหมด ยายถามว่าโอเลี้ยงไปไหนหมด ตาก็ตอบว่า “มันหนัก เลยเดินดูดมาระหว่างทางจ้ะ”
บางวันตาไปชวนเพื่อนเล่น แต่เพื่อนออกมาเล่นไม่ได้เพราะต้องช่วยที่บ้านทำขนมขาย ตาก็จะช่วยเพื่อนทำทั้งเม็ดขนุน ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ถือเป็นความโชคดีที่ทำให้เราเรียนรู้การทำงานมาตั้งแต่เด็ก แม้ว่าจะทำเพราะอยากเล่นซนก็ตาม
เกือบตายเพราะ…
ทุกครั้งที่มีเหตุเภทภัยหรือความเจ็บไข้ได้ป่วยเกิดขึ้นกับตา แม้แม่จะทำงานอยู่กรุงเทพฯ แต่ก็มักจะมีสัมผัสพิเศษบางอย่างที่ทำให้แม่รู้สึกร้อนรุ่มใจจนต้องมาเยี่ยมลูกที่สุรินทร์เสมอ
แม่เล่าให้ฟังว่า ตอนอายุได้สามขวบ ตาเกือบถูกรถชนตาย เรื่องของเรื่องก็เพราะความซนของตานั่นเอง คือที่ริมถนนหน้าบ้านของยายจะปูลาดด้วยหินกรวด พอฝนตกก็จะมีน้ำขังเฉอะแฉะ ตาก็จะเอาเชือกผูกกับกระป๋องนมทำเป็นเบ็ดตกปลา เหวี่ยงลงไปในน้ำแล้วพยายามครูดหินให้ติดเข้ามาในกระป๋อง จินตนาการว่ามีปลาติดเบ็ด
วันนั้นเล่น ๆ อยู่ดี ๆ กระป๋องนมเกิดไปติดแหง็กอยู่กับหินก้อนใหญ่ ตาก็เลยจะเดินไปแกะกระป๋องให้หลุด จังหวะนั้นเองรถสิบล้อที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงก็ผ่านมาพอดี ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์ร้องกรี๊ดด้วยความตกใจ แม่ที่กลับมาจากซื้อส้มตำได้ยินคนแถวบ้านร้องบอกว่า
“ไอ้ไก่! ลูกเอ็งโดนรถสิบล้อเหยียบ”เท่านั้นเองแม่ก็ทิ้งส้มตำที่อยู่ในมือ วิ่งไปดูลูกทันที
ภาพที่ทุกคนเห็นคือ ตานั่งนิ่ง ๆ ตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ ส่วนคนขับก็หยุดรถแล้วเดินลงมาดู ในใจก็คิดว่าคงเหยียบเด็กตายคาที่แน่แล้ว แต่โชคดีที่ครั้งนั้นตาตัวเล็กเมื่อนั่งยอง ๆ ทำให้สามารถลอดท้องรถไปได้จึงรอดตายอย่างเหลือเชื่อ!
อีกครั้งหนึ่งเพื่อน ๆ ชวนกันไปเล่นน้ำที่สระน้ำข้างวัด แม้จะว่ายน้ำไม่เป็น แต่ตาก็ไปกับเขาด้วย และด้วยความซนเลยไปเล่นอยู่ริมตลิ่ง เล่นไปเล่นมาเท้าเกิดพลาดตกลงไปในน้ำแล้วจมลงไปทั้งตัว เพื่อนที่ไปด้วยนึกว่าตกน้ำตายไปแล้ว โชคดีมีขอนไม้ลอยมา ตาเลยคว้าไว้ทัน ตอนนั้นรู้สึกเหมือนตายแล้วเกิดใหม่จริง ๆ
นอกจากนั้นตาเคยเป็นไข้เลือดออกด้วย แต่ที่หนักหนามากคือครั้งที่ป่วยเป็นโรคไวรัสขึ้นสมอง ถ้ารักษาไม่ทันก็อาจตายได้ โชคดีที่ตอนนั้นมีคุณหมอจบใหม่จากจุฬาฯไปประจำที่จังหวัด คุณหมอก็เลยคอยดูแลอย่างใกล้ชิด นั่งเฝ้าทั้งคืน เพราะเท่าที่ทราบ โรคนี้ถ้าให้น้ำเกลือมากเกินไปก็อาจทำให้ปัญญาอ่อน แต่ถ้าให้น้อยเกินไปก็อาจตายได้ ตารอดมาครั้งนั้นถือว่าเป็นบุญมาก และยังรู้สึกขอบคุณคุณหมอมาถึงทุกวันนี้
ชีวิตของตามีหลายเรื่องมากที่เหลือเชื่อด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้วัดบูรพาราม ทำให้มีโอกาสได้วิ่งเล่นในวัดช่วงที่ หลวงปู่ดูลย์อตุโล ศิษย์ของหลวงปู่มั่นยังมีชีวิตอยู่
ครั้งนั้นท่านยังเคยพูดกับตาที่เป็นแค่เพียงเด็กหญิงตัวน้อย ๆ แสนซนด้วยน้ำเสียงที่มีเมตตาว่า… (โปรดติดตามตอนต่อไป)
ที่มา : นิตยสารซีเคร็ต
เรื่อง : สุรางคณา สุนทรพนาเวศ
ภาพ : www.sanook.com
บทความน่าสนใจ
Room to Read : เยาวชนได้อ่านหนังสือดี ๆ ฟรีคือความสุขของเรา
6 สิ่งที่ควรเลิกก่อนกลายเป็น คนคิดมาก จนไม่มีความสุขในชีวิต