Herbal Usage วิธีใช้สมุนไพร+แผนปัจจุบันเพื่อ สมองและดวงตา
สมองและดวงตา เป็นอวัยวะส่วนสำคัญในร่างกาย ที่เราใช้ขับเคลื่อนการทำงานในแต่ละวัน โดยเฉพาะชาวออฟฟิศทั้งหลาย เราใช้ทั้งดวงตาและสมองวันละหลายชั่วโมง
ปัจจุบัน คนไทยเริ่มมีความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาโรค การป้องกันโรค และดูแลสุขภาพตนเองดีขึ้น ฉะนั้นการแพทย์ผสมผสาน หรือ Integrated Medicine ซึ่งเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจในการรักษาโรค จึงได้รับความนิยมมากขึ้น
นายแพทย์สมโภช นิปกานนท์ แพทย์ผู้ก่อตั้งสถาบันทางการแพทย์อีลิท ไลฟ์ อินทิเกรทเตท เมดิคอล เซ็นเตอร์ (Elite Life Integrated Medical Center หรือ ELC) เล่าว่าการแพทย์แผนปัจจุบันหรือแผนตะวันตกมีระบบระเบียบชัดเจน ต้องการการทดลอง การวิจัยที่ชัดเจน ลักษณะการแพทย์แผนปัจจุบันนี้ เรามักใช้ยารักษา โดยยาทำมาจากสารเคมี ซึ่งเราควบคุมได้หมด เนื่องจากการออกฤทธิมีความจำเพาะสูง ผลของฤทธิยาก็มีความเฉพาะที่ คุณหมอสมโภชอธิบายว่า
“ยาแผนปัจจุบันจะออกฤทธิต่อร่างกายชัดเจน แต่สารเคมีคือสารเคมี ไม่มีการปรับตัวเข้ากับร่างกายเลย ฉะนั้นคนไข้จึงมักเจอผลข้างเคียงของยา และสารเคมีที่เข้าไปมักทำให้ร่างกายเสียสมดุล ยาบางอย่างจะทำให้ร่างกายจะหยุดทำงาน และต้องได้ยาไปเรื่อยๆ ซึ่งถ้าควบคุมไปอย่างนั้นได้ก็ดี แต่เรามักเห็นหลายรายจบลงด้วยอวัยวะหลักๆของร่างกายทำงานแย่ลงหรือหยุดทำงาน”
คุณหมอสมโภชพาเราย้อนมามองในด้านการใช้สมุนไพร กล่าวว่า “ถ้าตัดเรื่องความหลากหลายของสูตรหรือตำรับออกไปก่อน ดูเฉพาะผลการรักษา เราจะพบว่าสมุนไพรตัวหนึ่งรักษาได้หลายอาการ เริ่มต้นที่ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ ในแผนไทย หรือธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ หยินหยางในแผนจีน ฉะนั้นจึงอาจไม่ค่อยมีความจำเพาะต่อโรค แต่ความปลอดภัยมีมากกว่ายาจากสารเคมี เนื่องจากมาจากธรรมชาติ ฉะนั้นการทำงานจึงเข้ากันได้ดีกับร่างกายมากกว่า ทำให้อวัยวะหรือสรีระในร่างกายปรับตัวได้ดีกว่า”
ฉะนั้นถ้าใช้ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบันและสมุนไพรร่วมกัน ก็จะช่วยลดผลข้างเคียงของยาจากสารเคมี หรืออาจลดปริมาณยาเหล่านั้นลงได้บ้าง หรือในบางกรณีที่อวัยวะนั้นๆ ยังทำงานได้มากอยู่ สมุนไพรอาจช่วยให้ผู้ป่วยสามารถหยุดการใช้ยาจากสารเคมีลงได้เลย เรียกว่าเป็นการอุดช่องว่างของการรักษาแบบใดแบบเดียว ผลลัพธ์คือทำให้ร่างกายดีขึ้น
วิธีใช้สมุนไพรเพื่อสมองและดวงตา
คุณหมอสมโภชกล่าวถึงทางที่ดีที่สุดว่า “ฉะนั้นเราจึงควรดูแลสุขภาพตนเองควบคู่กันไป ทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและสมุนไพร รวมถึงการกินอาหารที่มีประโยชน์ โดยเฉพาะส่วนของสมองและดวงตา ที่ควรจะต้องเริ่มด้วยการดูแล 4 ส่วนหลักของร่างกายคือ อนุมูลอิสระในร่างกาย การอักเสบของเนื้อเยื่อ ฮอร์โมน และภูมิต้านทาน ให้มีความสมดุล”
ฉะนั้นวิธีการดูแลสายตาเพื่อให้ 4 ส่วนหลักของร่างกายดังกล่าว เกิดความสมดุลคือ การกินวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค เพื่อให้ประสิทธิภาพการทำงานของดวงตาดีขึ้น นอกจากนั้นยังมีผลบิลเบอร์รี่ ผลไม้ที่มีผลการวิจัยรับรองว่า มีแอนโธไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) ช่วยลดความเสื่อมของเซลล์ เพิ่มจอสีประสาทตา ให้ทนต่อแสงได้ดี
ส่วนวิธีการดูแลสมอง เพื่อสร้างสมดุลให้อนุมูลอิสระในร่างกาย การอักเสบของเนื้อเยื่อ ฮอร์โมน และภูมิต้านทาน คือ การกินอาหารบำรุงสมอง เช่น โคลีน และการออกกำลังสมอง
โดยการออกกำลังสมอง เพื่อคงประสิทธิภาพการทำงานของสมอง สามารถทำได้ด้วยกิจกรรมง่ายๆ ได้แก่ การคิดเชิงลึกหรือการคิดวิเคราะห์ การทำกิจกรรมที่ชอบ เช่น การดูแลต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ร้องเพลง การทำกิจกรรมใหม่ๆ เช่น เรียนเย็บปักถักร้อย เรียนภาษาใหม่ๆ รวมทั้งการพักสมอง โดยการทำสมาธิ สวดมนต์ และพักผ่อนนอนหลับให้สนิท ในห้องที่มืดสนิท เพื่อให้เมลาโทนินทำงานอย่างเต็มที่
ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในวัยไหน หากมีชีวิตอยู่กับการใช้ดวงตา ในการจ้องคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟน การขับรถ อีกทั้งยังต้องใช้สมองในการจดจำ คิดทำสิ่งต่างๆอยู่ตลอดเวลา การใช้วิธีการของการแพทย์ผสมผสาน ในการดูแลตนเอง ป้องกันอาการเจ็บป่วย รวมไปถึงการรักษาโรค จึงเป็นทางเลือกที่ดีและน่าสนใจ
ทั้งนี้เพื่อให้ทุกคนฉลาด อ่อนเยาว์ อายุยืน สุขภาพดีสมดุลย์ และมีความสุข