ชีวิตติด “หลง” ของ ตุ๊ยตุ่ย พุทธชาด พงศ์สุชาติ
ในบรรดากิเลสทั้งหมด รัก โลภ โกรธ หลง คุณคิดว่ากิเลสตัวไหนเข้ามาทำตัว “เนียนๆ” กับเรามากที่สุด
ลองคิดดู ยามรักเราก็ยังรู้ตัวว่ารัก ยามโลภเราก็ยังรู้ตัวว่าโลภ ยามโกรธยิ่งแล้วใหญ่ เห็นชัดๆ กันไปเลย แต่ยามหลงนี่สิ ส่วนใหญ่เราจะเพลิดเพลินเจริญใจ ไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำว่ากำลังคลุกอยู่ในกิเลส ในบรรดากิเลสทั้งหมด อา (ตุ๊ยตุ่ย – พุทธชาด พงศ์สุชาติ) ขอจัดประเภทของตัวเองว่าติดอยู่ในความหลงมากที่สุด เริ่มจากหลงในอบายมุขที่เรียกว่า “หวย” ก่อนเลย…ใครแถวนี้เป็นบ้าง ยกมือขึ้น ว่าแล้วเรามาฟังเรื่องของอาเลยก็แล้วกัน
ทำงานถวายหวย
เชื่อไหมว่าอาซื้อลอตเตอรี่มาตั้งแต่เรียนชั้นม.5 ซื้อนิดซื้อหน่อยก็ต้องซื้อ เพราะมีความหวัง มีความสุขที่ได้ฝัน ฝันอยากเสี่ยงโชคแล้วรวยเป็นเศรษฐีง่ายๆ รวยแล้วก็ไม่ต้องทำงานให้เหนื่อย คิดวนเวียนแต่ว่าเสี่ยงโชคใบหนึ่งก็อาจจะได้สองล้าน ไม่ว่าจะซื้อมากซื้อน้อยอย่างไรก็ลุ้นจนตัวเกร็งทุกรอบ ทุกวันนี้อาเข้าใจจิตใจคนที่ซื้อดีว่ามันเป็นอย่างไร เพราะตัวเองเคยเป็นมาแล้ว
นอกจากเล่นหวยบนดินแล้ว หวยใต้ดินก็เอากับเขาด้วย ขออนุญาตใช้คำไม่สุภาพนิดหนึ่งนะคะ คือว่าอา “เล่นดักดาน” อยู่อย่างนั้นทั้งปีทั้งชาติไม่เคยถูกสักงวดเลยในชีวิตแต่ก็ยังเล่น จนเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จบมาทำงานในวงการบันเทิงก็ยังเล่นเป็นประจำมิเคยขาด แถมยังกล้าทุ่มซื้อคราวละเยอะๆ จนเรียกว่าทำงานถวายหวยได้เลยทีเดียว ตั้งแต่เล่นมา อาเสียเงินให้กับหวยไปเป็นล้าน โดยที่ไม่เคยถูกเลยสักงวด เหตุผลที่บอกตัวเองคือ “หยุดไม่ได้” ต้องซื้อ ต้อง “สู้” ไปเรื่อยๆ เพราะเสียมาเยอะแล้ว กะจะเอาคืนว่างั้นเถอะ!
กลางค่ำกลางคืนดึกๆ ดื่นๆ หลังเลิกงาน คนอื่นเขาไปเที่ยวเฮฮาหรือกลับบ้านไปอยู่กับครอบครัว แต่อาจะมีสมัครพรรคพวกชวนกันไปหาหวยตามวัดต่างๆ ไปวัดมหาบุศย์ ไปขอเลข ไปขอทั้งกับคุณย่านาค น้องแดง แล้วไปขอกับต้นตะเคียน ไปโรยแป้ง วันไหนมองไม่เห็นเลขอะไรก็นึกโมโห เป็นอารมณ์เร่าร้อนอยู่ข้างใน แต่ตอนนั้นมองไม่เห็นเลยสักนิด กลับบากบั่นไปทุกที่ที่เขาว่าดังว่าแม่น
ตอนนั้นอาคิดว่าการซื้อหวยคือการลงทุนที่คุ้มค่า คิดดูสิซื้อร้อยแต่ได้ล้าน ความหลงผิดชักนำเราไปอย่างนี้ อาถึงเข้าใจคนที่เล่นการพนันว่าทำไมถึงเล่นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ นี่คือมาสเตอร์พีซหรือผลงานชิ้นเอกของซาตาน มันค่อยๆ ล่อหลอกเรา คนที่มีสติ มีปัญญาเท่านั้นจึงจะมองเห็นว่าอะไรควรหยุด อะไรควรทำต่อไป
การเล่นหวยจนเสียเงินเสียทอง อาคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่ที่ไม่ธรรมดาคือเรื่องที่เกิดขึ้นในใจของอาเอง อย่างที่รู้กันว่าอาจัด รายการไก่คุ้ยตุ่ยเขี่ย ทางสถานีวิทยุ 94 อีเอฟเอ็ม ด้วยความเคร่งเครียดกับหวย พอวันหวยออก อาก็จะเริ่มพูดคุยกับผู้ฟังแล้วว่า “คุณผู้ฟังงวดนี้ออกอะไร ใครมีเลขเด็ด ส่งเอสเอ็มเอสเข้ามาหน่อย” และแล้วผู้ฟังก็ส่งมาจริงๆ อาก็จดๆ แล้วไปซื้อ ปรากฏว่าถูกกินเรียบ แต่ดีเจเชาเชา (ชวลิต ศรีมั่นคงธรรม) กลับถูก ในใจอาก็เริ่มคุกรุ่น เกิดความโมโห เลยใส่อารมณ์กับผู้ฟัง “เอ๊ะ…คุณผู้ฟังยังไงเนี่ย ให้เชาเชาถูก แล้วของอาทำไมไม่ถูก ใครให้อะไรมาเหรอ ให้ปลวกมาหรือเปล่าเนี่ย!” ก็คุยเหมือนจะขำๆ จิกกัด แต่ในใจเริ่มเดือดดาล
ยิ่งไปกว่านั้น วันหวยออกก็มักกลายเป็นวันที่ใจอามันง่อย สูญเสียการควบคุมอย่างแรง จากตอนแรกลั้นลาว่า เดี๋ยวเถอะ วันนี้ฉันจะถูกหวยหัวใจพองโต แต่พอถึงเวลาหวยออกจริงๆ ไม่ถูกเลยสักตัว มันรู้สึกเหมือนโลกถล่มทลายอยู่ตรงหน้าอยางไรอย่างนั้น กว่าจะปรับใจของตัวเองให้ทำการทำงานได้อย่างมีความสุข ก็ต้องพยายามบู๊ตตัวเองขึ้นมาอีกเท่า หรือบางครั้งก็ปล่อยให้ใจมันไหลซึมไปเลย แล้วก็ยอมรับกับทุกคนว่า “ก็วันนี้ไม่ถูกหวยไง จิตมันเลยตก” อาชอบพูดเล่นๆ ขำๆ แบบนี้ ผู้ฟังก็ขำกันไป แต่มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้ฟังคงจับอาการของอาได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องขำแล้วล่ะ เขาเลยส่งข้อความกันมามากมายผ่านเอสเอ็มเอสว่า “อาจ๋า ถ้าอาเล่นหวยแล้วอาไม่สนุก ผิดหวัง อาก็เลิกสิ”
ทุกข้อความที่ส่งมา อาสัมผัสได้ถึงความรักและหวังดีของพวกเขา และด้วยความที่เป็นคนซาบซึ้งกับความเมตตาเอื้ออาทรของคนอื่นได้ง่าย วันนั้นอาก็พูดผ่านรายการ ณ บัดนั้นเลยว่า “นี่…ฉันเห็นข้อความของพวกเธอแล้วนะ เออ…จริงๆ แล้วฉันไม่ควรที่จะเล่นหวยใช่ไหม เอาอย่างนี้แล้วกัน ในเมื่อทุกคนรักและเป็นห่วงขนาดนี้ ต่อไปฉันจะเลิกเล่นหวย” พูดเสร็จตัวชาวาบ คิดในใจ “หนูจะเลิก…หนูจะไม่เอาแจ๊คพ็อต 80 ล้านแล้วเหรอคะ ทำไมไม่คิดให้ดีอีกรอบ คิดให้ดีก่อนสักเบรกดีไหม” ประมาณว่ายังแอบเสียดาย แต่เมื่อคิดถึงพลังของความรักที่ผู้ฟังมีให้เราบวกกับสัจจะวาจาที่พูดไปแล้ว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาอาก็ไม่เคยเล่นหวยอีกเลย
กลัวการพลัดพราก
ตั้งแต่ตอนที่ยังเด็ก อาก็ต้องพบกับการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักแล้ว คนแรกคือคุณยาย เนื่องจากคุณพ่อเป็นข้าราชการ ตอนอายุ 5 ขวบ ท่านย้ายจากจังหวัดลำปาง ซึ่งเป็นบ้านคุณยายมารับราชการที่จังหวัดนราธิวาส ตอนนั้นยังจำความรู้สึกของตัวเองได้ว่าเศร้ามาก คิดถึงคุณยาย เพราะท่านใจดีมาก เวลาอาทำอะไรผิดท่านก็ไม่เคยดุด่าด้วยถ้อยคำที่ไม่ดีเลย แต่จะพูดเพราะๆ ว่า “น้องๆ อย่าทำแบบนี้สิลูก”
ทุกคืนอาจะนอนกับคุณยาย ฟังท่านเล่านิทาน จำได้ถึงกลิ่นของหมอน ผ้าห่ม เนื้อตัวของคุณยายที่เราชอบจับ บางคืนเรายายหลานก็จะไปนั่งมองดาวด้วยกัน จนตอนหลังเมื่อย้ายไปอยู่จังหวัดนราธิวาสแล้ว อามักจะนั่งมองดูดาวตอนกลางคืน และคิดว่าอีกฟากฝั่งโน้นคุณยายก็กำลังนั่งมองดาวอยู่ด้วยเหมือนกัน…ใจของเรายังคงเชื่อมโยงถึงกันเหมือนเดิม แม้ว่าคุณยายจะอยู่ที่ลำปาง ส่วนตัวอาอยู่ที่นราธิวาสก็ตาม
และแล้ววันหนึ่งการจากพรากที่แท้จริงก็เกิดขึ้น ในช่วงที่อายังเรียนมหาวิทยาลัย คุณยายจากไปด้วยโรคมะเร็ง ตอนแรกอารับความจริงไม่ได้ เพราะไม่อยากเห็นคนที่เรารักเจ็บปวดหรือตายจากไป อาจึงพยายามไม่ไปเยี่ยมคุณยาย เพราะไม่อยากไปเห็นท่านในสภาพที่เจ็บป่วย ทั้งที่คุณยายรักและเป็นห่วงเรา ไถ่ถามถึงเราตลอด ที่สุดท่านก็จากไป ในวันที่ท่านเสีย อาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่นิดเดียวและห้ามคนอื่นร้องไห้ด้วย เพราะไม่อยากให้คุณยายเห็นเราเสียใจ แต่ทราบไหมว่า หลังจากนั้นอานอนร้องไห้กระซิกๆ อยู่คนเดียวในห้องถึงหนึ่งเดือนเต็ม เพราะคิดว่าต่อจากนี้ไปเราจะเขียนจดหมายไปหาคุณยายได้ที่ไหน และคุณยายตายแล้ว หายเจ็บหายปวดจริงหรือเปล่า
ด้วยความที่ไม่รู้ว่าคนเราตายแล้วไปไหน มีสภาพอย่างไร ทำให้อากลัวความตายและไม่เข้าใจเรื่องความตาย จนช่วงหลังเมื่อมีโอกาสปฏิบัติธรรมหลายๆ ครั้ง จึงเริ่มเข้าใจถึงความจริงข้อนี้ว่าเราทุกคนต้องตาย คนที่ไม่แก่ก็ตาย คนที่แม้จะมีความสุขที่สุด มีลูกมีสามีพร้อมหน้าก็ต้องตายเหมือนกัน เราเกิดมาคนเดียวและเราต้องตายคนเดียว ไม่มีใครไปเป็นเพื่อนเรา
เมื่อเห็นความตายของคนรอบข้างมากขึ้น ทั้งคุณยาย เพื่อนรุ่นพี่ พี่ชายของตัวเอง อาก็เริ่มมองความตายในมุมใหม่ว่า ความตายสอนให้เรามองเห็นว่าทุกวินาทีที่เรามีชีวิตอยู่นั้นมีคุณค่า คนที่ตายไปแล้วเขาไม่มีโอกาสจะทำประโยชน์ให้กับคนอื่น แต่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราสามารถทำให้คนที่อยู่ใกล้ตัวเราและรอบตัวเรามีความสุขได้ เราไม่ต้องกลัวความตายหรอก ความตายอาจเป็นสิ่งที่เราไม่รู้ เป็นความลับของชีวิต แต่มันก็ไม่สำคัญเท่ากับตอนนี้ ปัจจุบันนี้ ว่าเราจะใช้เวลาที่มีอยู่ทำให้คนอื่นมีความสุขได้อย่างไร
แต่กว่าอาจะเข้าใจอะไรๆ ได้อย่างนี้ อาก็เดินหลงอยู่ในวังวนของความกลัวอยู่นาน และไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว เพราะนอกจากนี้แล้ว อาก็ยังหลงในรสของเหล้า เบียร์ ไวน์…คิดมาตลอดว่านี่คือ “โภชนาอาหาร” ดื่มแล้วอร่อย ซาบซ่า หายเหนื่อย ไม่ได้เลวร้ายตรงไหน ที่ไหนๆ เขาก็ขายกันทั่วบ้านทั่วเมือง ถ้าไม่ดีจริงทำไมเขาถึงยังขายกันอยู่ นี่โดนความหลงหลอกเอาอีกแล้วเต็มๆ
แต่สุดท้ายอาก็หาทางออกมาจนได้…
ว่ากันว่า โมหะหรือความหลงที่เป็นโทษอย่างยิ่ง คือ โมหะที่เป็นเหตุให้คิดผิดว่า “ทำดีไม่ได้ดี ทำชั่วไม่ได้ชั่ว” เพราะความหลงเช่นนี้เป็นความหลงที่ส่งผลต่อชีวิตอย่างสูง ส่วนการจะดูว่าเรามีโมหะในเรื่องใดมาก ก็ให้ดูจากทุกข์โทษภัยที่เกิดขึ้นกับตัวของเรา เช่น คิดผิดเห็นผิดว่าบุญบาปไม่มีแล้วทำบาปมาก ก็แปลว่าเรามีโมหะมากในเรื่องบุญบาป
ทุกวันนี้ บางคนก็หลงไปในความสุข ลาภ ยศ สรรเสริญ ทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสิ่งเหล่านี้ไว้ ในขณะที่บางคนก็หลงไปกับความเป็นหนุ่มเป็นสาวของตัวเอง พยายามหาวิธีการต่างๆ นานาเพื่อบำรุงรักษาร่างกายไม่ให้เสื่อม หรือหากวันใดมีความเสื่อมเกิดขึ้น ผิวหนังเหี่ยวย่น ฟันหัก กระดูกผุ ฯลฯ ก็เป็นทุกข์ ไม่สามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นได้ ทั้งหมดนี้เกิดจากการที่เราไม่เข้าใจความเป็นจริงของธรรมชาติที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่ไม่ได้ ต้องแปรปรวน เปลี่ยนแปลง และไม่เป็นไปตามอำนาจความปรารถนาต้องการของผู้ใด
ที่สำคัญ เราทุกคนซึ่งยังมีกิเลส ก็ล้วนติดอยู่ในความหลงด้วยกันทั้งนั้น หลงว่าสิ่งนั้นดี สิ่งนั้นถูก สิ่งนั้นเป็นของเรา สิ่งนั้นไม่แปรเปลี่ยน เหมือนที่ครั้งหนึ่งอาก็เคยหลงเข้าใจผิดไปว่า เครื่องดื่มของมึนเมาอย่างเบียร์ เหล้า ไวน์ คือ “โภชนาอาหาร” ดื่มแล้วอร่อย ซาบซ่าถึงทรวง และถ้าไม่ดีจริง เขาก็คงไม่นำมาวางขายทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งในห้างสรรพสินค้า ในซูเปอร์มาร์เก็ต แม้กระทั่งร้านสะดวกซื้อก็มีเครื่องดื่มของมึนเมาเหล่านี้แช่เย็นเจี๊ยบให้ซื้อหาได้ง่ายดาย เมื่อความ “หลงผิด” ชักนำไปอย่างนี้ อาก็คิดแต่เพียงว่าทำไมต้องเลิกดื่ม มันเลวร้ายนักเหรอสิ่งเหล่านี้! ก็เลยดื่มอยู่อย่างนี้มานานหลายปี จนวันหนึ่งจึงเริ่มคิดได้ เมื่อโดนโทษภัยของมันเล่นงาน…
เครื่องดื่มของมึนเมา…เรา “เอาอยู่” จริงหรือ
สิ่งแรกที่อาอยากบอกคนที่ยังติดใจในเครื่องดื่มของมึนเมาทั้งหลายก็คือ เหล้ายาปลาปิ้งและการพนันทั้งหลาย เป็นผลงานชิ้นเอกของซาตาน และไม่ว่าคุณจะเรียนมาสูงมากแค่ไหน ก็สามารถตกเป็นทาสของมันได้ ครั้งแรกที่เราดื่มเหล้า เบียร์ ไวน์ เรามักจะคิดว่า “เราเอาอยู่” เราสามารถควบคุมมันได้ เรารู้ว่าเราดื่มแค่ไหนถึงจะเมา แต่ประทานโทษเถอะนะคะ ในความเป็นจริง หาได้น้อยมากที่จะควบคุมตัวเองได้ เมื่อมีแก้วที่หนึ่ง ก็มักจะมีแก้วที่สอง สาม สี่ ตามมา คนที่หลงชอบเสพพวกเครื่องดองของเมาทั้งหลายนั้นน่าสงสารมาก และครั้งหนึ่งอาก็เคยเป็นคนที่น่าสงสารเหมือนกัน
อาไม่ได้ติดเหล้าติดเบียร์ถึงขนาดไม่ได้ดื่มมือไม้จะสั่น ใจสั่น ทำงานไม่ได้ แต่เป็นเพียงมีความสุขที่ได้ดื่มวันละนิดวันละหน่อยเท่านั้น พอได้เวลาแดดร่มลมตก ลมพัดเย็นสบาย อาก็คิดว่าทำงานมาเหนื่อยๆ ถ้าได้จิบเบียร์สักหน่อยก็สดชื่นแล้ว ดังนั้น “การดื่ม” ในแบบฉบับของตุ๊ยตุ่ยคือ ไม่ต้องไปเฮฮาสังสรรค์ที่ไหนหรอ แค่ดื่มที่บ้านของตัวเองก็อร่อยแล้ว! อาหลงคิดไปว่า การดื่มเหล้าของตัวเองไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ไม่ได้ดื่มแล้วไปทำร้ายคนอื่น ไม่ได้ดื่มแล้วไปก่ออาชญากรรม อาจึงยังคงดื่มเรื่อยมา แต่ยิ่งดื่มนานขึ้น อาก็เริ่มเห็นพิษภัยของมัน
ครั้งหนึ่งอาเคยไปเฮฮาสังสรรค์กับเพื่อนๆ ดื่มกันไปคุยกันไป ด้วยความสนุกสนาน จู่ๆ เพื่อนพูดอะไรขึ้นมานิดหนึ่ง แต่ด้วยความที่ไม่มีสติ เรื่องธรรมดาๆ จึงกลาย “เป็นเรื่อง” ขึ้นมา ฤทธิ์ของเหล้าทำให้อารู้สึกเดือดพล่าน โมโห ตีความความรักและความหวังดีของเพื่อนเป็นความดูถูกดูแคลน และตามมาด้วยคำพูดของอาที่ทิ่มแทงทำร้ายคนที่รักเรา
พอหายเมา สติกลับคืนมา อาจึงคิดได้ว่า ของมึนเมาที่เราคิดว่า “เอาอยู่” แท้ที่จริงเรากลับ “เอาไม่อยู่” เพียงแต่ที่ผ่านมามันยังไม่ได้ทำร้ายเราแบบที่เคยเห็นในหน้าหนังสือพิมพ์ ที่บางคนตบตีภรรยา ยิงเพื่อน ข่มขืนหลาน ฯลฯ โชคดีที่เรื่องเลวร้ายพวกนี้ยังไม่เกิดขึ้นกับเรา เราจึงคิดว่าควบคุมมันได้ แต่จริงๆ แล้ว ทันทีที่สติของเราไม่เต็มร้อย เรื่องร้ายๆ ก็สามารถเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ภาวนา หยุดอบายมุข
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่อามีกัลยาณมิตรหลายท่าน ทั้งทีมงานรายการเจาะใจ และ คุณกิ๊ก – มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ เพื่อนๆ เหล่านี้ต่างพยายามผลักดันให้อาไปปฏิบัติธรรม แรกๆ อาก็บอกพวกเขาว่าขอทำทานก่อนได้ไหม ให้ไปปฏิบัติธรรมดูท่าจะยาก ศีลก็ไม่ครบ เพราะชอบดื่มเหล้า จนตอนหลังเมื่อตัดสินใจว่าคงถึงเวลาแล้ว จึงค้นพบว่าตัวเองสามารถเลิกอบายมุขทั้งหลายได้ก็ด้วยการปฏิบัติธรรม โดยเฉพาะการปฏิบัติธรรมในหลักสูตรของ คุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย ซึ่งมีทั้งการเดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดลมหายใจ และที่สำคัญมากๆ คือการกำหนดอิริยาบถย่อย ซึ่งทำให้อาเลิกดื่มของมึนเมาทั้งหลายได้อย่างเด็ดขาด
อันที่จริง หลังกลับจากการปฏิบัติธรรมครั้งแรกๆ อาก็ยังดื่มอยู่ แต่หลังๆ เมื่อไปบ่อยขึ้น สติของเราจะค่อยๆ ถูกฝึกให้มีความเข้มแข็ง พอมีสติก็เริ่มเกิดปัญญา เริ่มพิจารณาเห็นถึงโทษภัยของมันได้อย่างแท้จริง จำได้ว่า หลังจากปฏิบัติธรรม 8 วัน 7 คืน เมื่อกลับถึงบ้านอาก็ตรงดิ่งไปที่ตู้เย็นทันที ด้วยความที่ไม่ได้ดื่มมาหลายวัน คิดว่าสิ่งแรกที่ต้องทำเมื่อกลับถึงบ้านคือการดื่มเบียร์เย็นๆ ให้ชื่นใจ ตอนนั้นแม้จะก้าวเท้าอย่างเร็ว แต่ก็พยายามกำหนด “ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ…” จนกระทั่งเดินไปถึงตู้เย็นก็กำหนดว่า “อยากหยิบหนอ” พอเปิดตู้เย็นก็กำหนดว่า “เคลื่อนหนอ ยึดหนอ แข็งหนอ เย็นหนอ เบียร์นี่หว่าหนอ” เมื่อเอื้อมมือไปจับก็เห็นว่าใจของตัวเองร้อง “ว้าวๆ…ดีใจหนอ!” เห็นความดีใจที่เกิดขึ้น แล้วก็เห็นว่า เดี๋ยวอีกสักครู่ถ้าเราได้ดื่มเบียร์กระป๋องนี้เราจะรู้สึกสดชื่นซาบซ่ามากขนาดไหน
แต่ชั่วแวบหนึ่งอาก็คิดว่า เป็นไปได้อย่างไร เราไม่ได้ดื่มเบียร์ตั้ง 8 วันเลยนะ จากเลข 8 ถ้าเราเพิ่มเป็นเลข 9 ได้ถือว่าเราเก่งสุดยอด ถ้าอย่างนั้นลองไม่ดื่มอีกสักวันดูซิว่าเราจะทำได้หรือเปล่า จึงคิดว่า “เอาละ…ถ้าอย่างนั้นตอนนี้เราต้องวางกระป๋องเบียร์คืนที่เดิมก่อน” ขณะที่ใจหนึ่งก็บอกว่า “อยากดื่มหนอ” อีกใจหนึ่งก็บอกว่า “คืนไปก่อนหนอ…” ในที่สุดอาก็ทำได้ วันนั้นจึงรู้เลยว่า ถ้าเป็นเวลาปรกติที่ไม่ค่อยมีสติ กลับมาถึงบ้านปุ๊บ อาก็คงหยิบเบียร์มาดื่มเรียบร้อยแล้ว โดยที่ไม่ได้คิดพิจารณาอะไร แต่ไม่ใช่ว่าไปปฏิบัติธรรมครั้งเดียวแล้วอาเลิกดื่มเบียร์ดื่มเหล้าได้เลย ต้องอาศัยกำลังของสติที่เพิ่มมากขึ้นถึงจะทำได้ เรื่องการพูดก็เช่นเดียวกัน บางครั้งเราพูดเร็วมากเกินไป ทั้งที่ความจริงแล้วสามารถพูดอย่างอื่นที่กระทบกระเทือนใจคนฟังน้อยกว่าก็ได้ หรือบางคนที่ชอบลืมของบ่อยๆ วิธีการกำหนดอิริยาบถย่อยก็สามารถช่วยได้
จากการไปปฏิบัติธรรมทำให้อาเรียนรู้ที่จะลด ละ เลิก สิ่งที่ไม่ดีที่ตัวเองเคยทำมา และคิดว่าในฐานะที่อาอยู่ในแวดวงสื่อสารมวลชน เป็นดีเจ นักแสดง พิธีกร ก็น่าที่จะนำสิ่งดีๆ เหล่านี้ไปบอกต่อกับผู้ฟัง ถือเป็นการโฆษณาธรรมะ ดีกว่าพูดเพ้อเจ้อไปเรื่อย หรือพูดแล้วทำให้คนอื่นเดือดร้อน ดังนั้นเวลาน้องๆ ที่ฟังรายการถามอะไรมา อาก็จะแนะวิธีคิดแทรกไปกับความตลกโปกฮาด้วยเสมอ นอกจากจะเล่นหวย ดื่มของมึนเมาแล้ว นิสัยอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้อาพลาดสิ่งดีๆ ในชีวิตก็คือ ความกลัว กลัวว่าจะทำไม่ได้ทั้งที่ยังไม่ลองทำ รวมถึงกลัวผีและกลัวแมวเข้าขั้นรุนแรง!
ถึงจะกลัวมากขนาดไหน วันนี้อาก็เอาชนะมันได้แล้วด้วยวิธีไหนต้องลองอ่าน…
“ไม่ต้องไปวัดก็ปฏิบัติธรรมได้” ใครหลายคนพูดอย่างนี้ และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนั้น เพราะคนบางคนไม่ต้องไปเข้าวัดปฏิบัติธรรมก็ปฏิบัติตัวอยู่ในศีลในธรรม มีสติปัญญาที่จะเลือกทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ทั้งกับตนเองและผู้อื่น
แต่สำหรับอา การเจริญภาวนาที่วัดหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมในหลักสูตรต่างๆ ทั้งของคุณแม่ ดร.สิริ กรินชัย แม่ชีขวัญ บางกระสอ มูลนิธิบุญญานุภาพ อำเภอเถิน จังหวัดลำปาง หรือที่ วัดภัททันตะอาสภาราม อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี รวมถึงสถานที่ปฏิบัติธรรมอื่นๆ ช่วยยกระดับจิตใจให้หลุดพ้นจากอบายมุขได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เลิกเล่นหวย เลิกดื่มของมึนเมา และที่สำคัญยังทำให้เลิกกลัว ทั้งกลัวการเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ๆ กลัวผี และกลัวแมวได้อีกด้วย
ก้าวข้าม “ความกลัว”
ถ้าวัดระดับความกลัวที่มีอยู่ในตัวอาก่อนหน้านี้ ถือว่า“สูงมาก” สำหรับอา ความกลัวมีอยู่รอบด้าน สมัยเรียน นอกจากความกลัวผีที่มีอยู่เป็นทุนเดิมแล้ว ยังกลัวที่จะทำอะไรใหม่ๆ เพราะชอบที่จะอยู่ใน “เขตแดนที่ปลอดภัย” ของตัวเอง
สมัยเรียนนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เพื่อนชวนไปเล่นละครเวทีก็ไม่อยากไปเล่นเพราะไม่กล้า คิดแต่ว่าเราไม่เคยทำ มันต้องยากแน่ๆ จนสุดท้ายเพื่อนที่ชวนไปเริ่มงอน จึงยอมไปและค้นพบว่าเรามีศักยภาพด้านนี้ด้วย ถึงทุกวันนี้ต้องบอกว่าความสามารถหลายสิ่งหลายอย่างในตัว อาได้รับการผลักดันจากคนรอบข้างนั่นเอง
นอกจากนั้น เมื่อก่อนอาไม่ยอมไปต่างประเทศ เพราะไม่ชอบการเดินทางและไม่อยากเรียนรู้อะไรจากการเดินทาง จนกระทั่งวันหนึ่งไปออกรายการเจาะใจ เขาเสนอให้ไปปั่นจักรยาน กับ อ้น – ศรีพรรณ ชื่นชมบูรณ์ ที่ประเทศมาเลเซีย ถ้าทำสำเร็จ เขาจะนำเงินหนึ่งล้านบาทไปบริจาคให้กับคนหูหนวก อาก็คิดว่า ชาตินี้เราจะสามารถหาเงินตั้งหนึ่งล้านบาทมาทำบุญด้วยตัวเองได้ไหม คำตอบคือแทบเป็นไปไม่ได้เลย ดังนั้นเมื่อโอกาสมาอยู่ตรงหน้า เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด และแล้วการเดินทางครั้งนั้นก็ทำให้อาได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างและทำให้ก้าวข้ามความกลัวการเดินทางได้ในที่สุด
ความจริงแล้ว ความกลัวส่งผลต่อชีวิตของอาหลายอย่าง หนึ่งในนั้นคือ เป็นอุปสรรคในการเรียนภาษาอังกฤษเป็นอย่างมาก สมัยเรียนมหาวิทยาลัย มีอาจารย์ชาวต่างชาติมาสอนวิชาภาษาอังกฤษ ด้วยความที่อาเป็นคนขี้กลัว ไม่กล้าพูด เมื่อถึงชั่วโมงเรียนอาจารย์ซักถามอะไร อาก็ไม่ตอบ แถมบางครั้งยังตอบเป็นภาษาไทย แล้วให้เพื่อนช่วยแปลให้อาจารย์ฟัง โชคดีที่ยังได้เกรดซี เกรดดี ทำให้รอดมาได้ จนกระทั่งเมื่อได้มาร่วมงานกับ คุณคริส – คริสโตเฟอร์ ไรท์ แห่งรายการคริส เดลิเวอรี่ (Chris Delivery) จึงมีโอกาสได้ฝึกฝนภาษาอังกฤษของตัวเอง จนทุกวันนี้เวลาเดินทางไปต่างประเทศก็กล้าพูดมากขึ้น จากที่เมื่อก่อนไม่ยอมพูดเลย รวมถึงทำให้กล้าที่จะทำธุรกิจ ทั้งที่เมื่อก่อนคิดว่าเราไม่มีความสามารถด้านนี้ แต่ปัจจุบันอานำเข้าผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงผิวและสุขภาพ Purè Plus Collagen ซึ่งทำให้สุขภาพของตัวเองและคนรอบข้างดีขึ้น
กลัวผี กลัวแมว
สมัยก่อนอากลัวผีมาก ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งคิดว่าผีกำลังจะมา เลยวิ่งหนีสุดชีวิต ผลปรากฏว่าหกล้มแข้งขาหักจนต้องเข้าเฝือกเลยทีเดียว หรือถ้าเพื่อนมาแกล้งหลอกผี ด้วยความกลัวจนสติแตก อาสามารถกระโดดถีบเพื่อนได้เลย เวลาเข้าห้องน้ำก็ต้องเปิดประตู แล้วให้ใครสักคนมายืนคุยด้วย เวลานอนก็ต้องให้มีคนนอนในระนาบเดียวกับเราอย่างน้อยคนหนึ่ง ถ้านอนสูงกว่าก็ต้องเอามือเอาเท้ามาให้อาเกาะเกี่ยวไว้
หลายปีที่ผ่านมา ความกลัวผีคอยหลอกหลอนอามาตลอด จนกระทั่งเมื่อ คุณกิ๊ก – มยุริญ ผ่องผุดพันธ์ ชวนให้ไปปฏิบัติธรรมกับ ท่านสะยาดอ อู จาทีลา ความกลัวที่ว่านี้ก็เริ่มหายไป ครั้งนั้นอาต้องนอนในห้องพักคนเดียวเป็นครั้งแรก ที่สำคัญห้องพักยังอยู่ไกลจากห้องปฏิบัติธรรมอีกด้วย กลางดึกของคืนนั้นอาได้ยินเสียงดังสวบสาบๆ ดังอยู่ด้านนอกที่พัก ด้วยความกลัวผีเป็นทุนเดิม ใจก็จินตนาการว่าต้องเป็นวิญญาณน่ากลัวแน่ๆ ก็เลยพยายามสวดมนต์แผ่เมตตาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้อยู่ในใจ สักพักเสียงนั้นก็เงียบลง อาก็นึกดีใจว่าที่ทำไปได้ผล แต่ไม่ทันไร เสียงเดิมที่ได้ยินก็กลับมาอีก อาจึงเริ่มสวดมนต์แผ่เมตตาใหม่อีกครั้ง สักพักเสียงนั้นก็เงียบลง…และที่สุดก็ดังขึ้นอีก คราวนี้อาอดรนทนไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เป็นไงเป็นกัน ต้องเผชิญหน้าดูสักครั้ง!
ตอนนั้นใจก็จินตนาการหลอกหลอนตัวเองว่า ภาพที่เห็นต้องเป็นผีผู้หญิงหน้าตาน่ากลัวมากแน่ๆ และแล้ว…สิ่งที่อาเห็นก็เป็นวัตถุสีดำๆ เคลื่อนตัวไปมาอย่างช้าๆ ช้าๆ…เมื่อมองชัดๆ จึงรู้ว่าเป็นแมวสีดำตัวหนึ่งกำลังเดินเหยียบใบไม้แห้ง…เท่านั้นเอง! โอย…ตอนนั้นรู้เลยว่าที่ผ่านมาเรากลัวไปเองนี่นา เราคิดปรุงแต่งไปเองทั้งนั้น ไม่ว่าจะกลัวผีหรือกลัวอะไรก็แล้วแต่ เราคิดของเราไปเองจนทำให้เราไม่มีความสุขและทำลายโอกาสดีๆ ในชีวิตของเราไปมากมาย
และนับตั้งแต่คืนนั้นเป็นต้นมา อาก็เกิดปัญญาว่า ทุกข์-สุข ในชีวิตของเรามันมาจากการปรุงแต่งนั่นเอง ปรุงว่าสามีจะไปมีเมียน้อย ปรุงว่าลูกจะทำตัวไม่ดี ฯลฯ เราปรุงเองทั้งนั้น แต่ถ้าเราหัดอยู่กับความเป็นจริง ณ ปัจจุบัน เราก็จะสลัดออกจากความคิดที่คอยทำร้ายเราได้ อาจึงเข้าใจเลยว่าทำไมเราจึงต้องฝึกภาวนา ทั้งหมดก็เพื่อให้เรารู้เท่าทันปัจจุบันนั่นเอง ยิ่งรู้สึกตัวมาก เราก็จะไม่หลงปรุงแต่งมาก
แม้กระทั่งความกลัวแมวที่อาเป็นมาตั้งแต่เด็กๆ ก็ได้รับการแก้ไข จากที่เคยกลัวก็เปลี่ยนความคิดใหม่ว่าไม่ใช่แมวทุกตัวจะทำร้ายเราเหมือนสมัยเด็กๆ แมวตัวนั้นอาจเป็นแมวที่กำลังหงุดหงิด ที่จริงแมวทุกตัวใจดี สิ่งที่อาทำคือพยายามแผ่เมตตาให้แมว คิดถึงเขาในทางที่ดี พูดเพราะๆ กับเขา ในที่สุดแมวก็ไม่ทำร้ายเรา
ทุกครั้งที่ไปปฏิบัติธรรม อาตั้งใจภาวนาเต็มร้อย เพราะคิดว่า เมื่อเราสละเวลาในการทำงานมาแล้ว เราต้องทำให้เต็มที่ไม่ว่าจะเหนื่อย เมื่อย ง่วงแค่ไหนอาก็ไม่เคยท้อ และพบว่าการภาวนาช่วยให้อาลดละเลิกกิเลสได้หลายอย่าง ที่สำคัญยังชักนำคนในบ้านทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่ชายให้ปฏิบัติธรรมด้วย จากที่เมื่อก่อนครอบครัวของเรารักกันมากแล้ว ปัจจุบันเรายิ่งรักกันมากขึ้น แต่เป็นความรักที่มีทั้งเมตตาและปัญญาเป็นที่ตั้ง
นอกจากนั้น หลังจากสวดมนต์ไหว้พระ อาจะอธิษฐานจิตเสมอว่า ขอให้ได้ทำงานที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ขอให้การได้เกิดมาเป็นคนที่มีชื่อเสียงเป็นโอกาสให้ได้นำธรรมะไปสู่คนรอบข้างและขอให้พบเจอแต่คนที่ดีๆ อยู่ในศีลในธรรม อาคิดว่า การอธิษฐานบารมีเป็นสิ่งสำคัญ เหมือนเราได้ตั้งเป้าหมายให้กับความคิด คำพูด และการกระทำของเรา เมื่อจิตใจของเราแน่วแน่กับสิ่งไหน ในที่สุดเหตุการณ์ต่างๆ ก็จะชักนำเราไปสู่หนทางที่เราตั้งใจไว้
หนทางธรรมไม่ใช่เรื่องที่เล่าให้ใครฟังแล้วจะเข้าใจได้ทันที แต่ต้องใช้ความตั้งใจชนิด “เอาตัวเข้าแลก” ด้วยการไปปฏิบัติธรรมด้วยตนเองจึงจะรู้ซึ้งในพระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
…ลองพาตัวพาใจไปปฏิบัติธรรมดูสักครั้ง อาเชื่อว่ามีสิ่งดีๆ
บทความน่าสนใจ
การปฏิบัติสมาธิ มีหลายแบบหลายแนวไม่เหมือนกัน สรุปแล้วจะเชื่อสำนักใดดี?
ตั๊ก ศิริพร อยู่ยอด กับ ชีวิตที่เชื่อมั่นในความดี (ตอนจบ)
เปิดใจ รับคนใหม่ เริ่มต้นความสัมพันธ์กับใครสักคน เพื่อรักครั้งใหม่ที่สดใส