บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ …ชีวิตนี้ขออุทิศเพื่อเพื่อนมนุษย์

ในโลกออนไลน์

เมื่อคลิกเข้าไปในเฟซบุ๊กของ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ภาพที่เราได้เห็นจะไม่ใช่ภาพดาราโพสท่ากับอาหารจานโปรด หรือภาพกิจกรรมที่แสดงถึงความสุขสนุกสนานแบบคนทั่วไป แต่จะเป็นภาพของผู้ประสบเคราะห์กรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นคุณยายซึ่งเป็นมะเร็งที่ใบหน้าและเป็นแผลลุกลามจนไม่เหลือเค้าเดิม หรือไม่ก็เป็นภาพชีวิตความเป็นอยู่อันแสนอนาถาของสองตายายที่ป่วยเป็นอัมพาต ฯลฯ โดยจะมีการอัพเดตเรื่องราวการช่วยเหลือคนเหล่านี้อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ทั้งยังมีการลงหมายเลขบัญชีไว้ทุกครั้ง เพื่อให้ผู้ใจบุญสามารถบริจาคเงินให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือได้โดยตรง

ในโลกออฟไลน์

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ลงพื้นที่ช่วยผู้คนที่ตกทุกข์ได้ยากอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 30 ปี โดยมีทีมงานไปกับเขาเพียงไม่กี่คน ก่อนที่จะสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือในโลกออนไลน์ขึ้นมาเมื่อไม่กี่ปีให้หลัง…พร้อม ๆ กับที่ค่อย ๆ ลดงานในวงการบันเทิงลง เหลือเพียงงานกำกับภาพยนตร์เท่านั้นเกิดอะไรขึ้นกับอดีตพระเอกคนหนึ่งที่ตัดสินใจเฟดตัวเองจากโลกแห่งเงินทองและชื่อเสียง แล้วหันไปอุทิศตัวให้กับการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ โดยไม่ได้อะไรตอบแทน…

ช่วงหลังๆ มานี้รู้สึกว่าคุณเริ่มลดงานในวงการบันเทิงลงเรื่อยๆ นะครับ

ผมเริ่มรู้สึกว่าบทบาทที่ได้รับมันไม่สร้างสรรค์สังคมสักเท่าไหร่ มีหนังหรือละครหลายเรื่องที่ติดต่อเข้ามาแล้วผมให้ ไทด์(เอกพันธ์ บันลือฤทธิ์ น้องชายฝาแฝด) ไปเล่นแทน ที่คิดแบบนี้ไม่ได้หมายความว่าผมทรยศหรือดูถูกอาชีพนี้นะครับ แต่ผมอยากรับบทบาทที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนหรือเยาวชนรุ่นต่อไป ถ้าเป็นละครเทิดพระเกียรติหรือละครที่ให้แง่คิดดี ๆ ผมยินดีเล่นให้ฟรีเลย และอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่ค่อยรับงานแสดงก็เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการทำงานช่วยเหลือคนที่ตกทุกข์ได้ยากกับมูลนิธิร่วมกตัญญูนี่ละครับ

ถือว่าเป็นงานที่ทำแล้วได้บุญมากเลยนะครับ

ครับ แต่ก็ไม่เสมอไปที่เรื่องจะจบแบบนี้ อย่างคุณลุงมัคนายกคนหนึ่งป่วยเป็นอัมพาต ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ความที่เขาไม่มีญาติ เลยได้แต่นอนอยู่ในห้องมืด ๆ เหมือนโดนขังไว้เป็นเวลากว่าสิบปี ใครผ่านไปก็โยนข้าวให้กิน วันไหนไม่มีใครผ่านไปแกก็นอนอยู่อย่างนั้น แถมตาข้างหนึ่งยังบอดเพราะโดนมดโดนแมลงกัดกิน ไม่รู้ว่ามีชีวิตอยู่มาได้ยังไงตลอดเวลาเป็นสิบปีตอนผมไปเจอ สภาพลุงน่ากลัวมาก ผมเผ้าหนวดเครารุงรัง ภายในห้องเต็มไปด้วยอาหารบูดเน่า ผมจับแกมาอาบน้ำ ทำความสะอาดบ้านให้ แล้วก็ออกเงินซื้อที่นอนหมอนมุ้งให้ใหม่หมด แต่น่าเสียดายว่าหลังจากมีสุขภาพดีขึ้นได้ไม่นาน คุณลุงก็เสียชีวิตลง ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่า คุณลุงอยู่อย่างทุกข์ทรมานมาได้เป็นสิบปี แต่พอผมเข้าไปช่วยจนทุกอย่างดีขึ้นเขาก็จากไป

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

 

การทุ่มเทเพื่อเพื่อนมนุษย์แบบนี้มีส่วนทำให้คุณยังไม่มีครอบครัวด้วยหรือเปล่าครับ

ผมเคยลองใช้ชีวิตครอบครัวมาแล้ว 2 ครั้ง แต่สุดท้ายก็ต้องเจอกับปัญหาเดิม ๆ ว่า ถ้าแต่งงานก็ต้องเลือกว่าจะเลิกทำงานเพื่อสังคมหรืองานเก็บศพไปเลยหรือเปล่า นอกจากนั้นยังต้องเก็บเงินเพื่อครอบครัว มีเรื่องของอนาคตให้ต้องคิดอีก พอเจอปัญหาอย่างนี้ก็รู้สึกเลยว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมต้องการ แต่ผมก็ไม่ได้ปิดตัวเองนะครับ เจอใครสวยใครน่ารักก็ยังมีแอบชอบ ถือเป็นความสุขทางใจอย่างหนึ่ง ถ้าวันหนึ่งผมได้เจอคนที่เข้าใจ พร้อมจะเดินหน้าไปกับผม และพร้อมจะช่วยเหลือคนอื่นไปด้วยกันก็ไม่แน่  บางทีอาจจะเจอคนคนนั้นตอนผมอายุ 60 ก็ได้ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราก็ได้ทำในสิ่งที่ทำแล้วมีความสุขจริง ๆ เป็นความรู้สึกที่ใครไม่ทำไม่รู้ เป็นความสุขที่อธิบายให้ใครฟังไม่ได้

แน่นอนว่า การมีครอบครัวอาจทำให้เรามีความสุข มีคนคอยดูแลในช่วงบั้นปลายมีลูกหลานอยู่เคียงข้าง แต่ผมผ่านจุดนั้นมาแล้ว และเข้าใจดีว่า หากเรามีตรงนั้นสิ่งที่จะต้องขาดไปแน่นอนคือการมอบความสุขให้คนที่ตกทุกข์ได้ยาก ถ้าได้อย่างก็ต้องเสียอย่าง ผมเลือกอย่างนี้ดีกว่า การทุ่มเทของผมให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ผมต้องเสียไป ผมมีความสุขดีกับการได้อยู่กับแม่ กับพี่น้อง หรือหลาน ๆ ถ้าแก่ตัวลงไป อย่างน้อยลูก ๆ ของไทด์ก็คงดูแลผมได้ (ยิ้ม)

คุณกับคุณไทด์หน้าตาเหมือนกันจนแยกไม่ออก ความแตกต่างระหว่างพี่น้องฝาแฝดคู่นี้คืออะไรครับ

เราค่อนข้างแตกต่างกันเรื่องบุคลิกนิสัย ไทด์เขาค่อนข้างสำอาง สไตล์เขาจะออกไปทางลูกกรุงหน่อย ส่วนผมจะออกลูกทุ่งตอนเด็ก ๆ ชอบใส่เสื้อยืด กางเกงขาสั้น ถือแหลงน้ำหาปลา ส่วนสิ่งที่เหมือนกันคือจิตใจที่ชอบช่วยเหลือคนอื่น เพราะเราซึมซับมาจากแม่ ซึ่งเป็นคนต่างจังหวัดที่มีความจริงใจสูง แล้วก็ได้ความเรียบร้อยจากพ่อ เพราะคุณย่าเคยใช้ชีวิตอยู่ในรั้วในวังสมัยรัชกาลที่ 5 คุณพ่อเลยถูกเลี้ยงมาแบบคนในวัง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องมารยาทบนโต๊ะอาหาร การเดินผ่านผู้ใหญ่ หรือการพูดการจา พวกเราเลยซึมซับความมีมารยาทและความรับผิดชอบในหน้าที่มาเต็มที่ ถ้าทำอะไรไม่ถูกต้องจะโดนเฆี่ยนหนักมาก อย่างตอนเด็ก ๆ ผมอยากไปดูหนัง พ่อก็ตั้งเวลาไว้เลยว่าต้องกลับมาก่อนสามทุ่ม ถ้าหลังสามทุ่มโดน เราก็ดูหนังแบบไม่มีความสุขเลย ถามพี่ที่พาไปตลอดว่ากี่โมงแล้ว ๆ แต่สุดท้ายก็ดูหนังเพลินจนเลยเวลา ผมวิ่งกลับบ้านแบบไม่คิดชีวิต แต่ก็ไม่พ้นโดนตี ตอนนั้นไม่ค่อยเข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้น แต่พอโตขึ้นมาก็รู้ว่าถ้าวันนั้นเราไม่ได้รับการอบรมจากพ่อ วันนี้เราจะเป็นอย่างไร

309119_431843813535276_782797202_n

นอกจากคุณพ่อคุณแม่คุณได้รับแรงบันดาลใจในการทำงานเพื่อสังคมมาจากใครเป็นพิเศษไหมครับ

โดยส่วนตัวแล้วผมไม่มีฮีโร่นะครับสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากจิตใต้สำนึก อยู่ที่จิตใจเรา แต่ คุณคมน์ อรรฆเดช คนที่ปั้นผมขึ้นมาในวงการบันเทิงเคยสอนผมว่า คนที่มีพระคุณกับเรามากที่สุดคือประชาชน ถ้าไม่มีพวกเขามาสนับสนุนแล้ว เราจะเป็นบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ อย่างทุกวันนี้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราจะตอบแทนบุญคุณของทุกคนได้คือ การช่วยเหลือพี่น้องประชาชน แล้วบังเอิญว่าชุมชนที่ผมอยู่สมัยเด็ก ๆ เคยได้รับบริจาคสมุด ดินสอ เสื้อผ้า และความช่วยเหลือต่าง ๆ จากมูลนิธิร่วมกตัญญูกับมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผมเลยฝังใจว่าวันหนึ่งถ้ามีโอกาสและมีฐานะมั่นคงแล้ว ผมจะทำให้ได้อย่างร่วมกตัญญูและป่อเต็กตึ๊ง จนกระทั่งได้เล่นหนังและมีชื่อเสียง ทำให้ได้เข้ามาทำงานในมูลนิธิร่วมกตัญญูตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 – 2530 ผมเลยได้ตอบแทนประชาชนอย่างที่เคยตั้งใจไว้ เหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งใหญ่ ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยผมอยู่ในเหตุการณ์เหล่านั้นทุกครั้ง

คุณได้เรียนรู้อะไรจากเหตุการณ์เหล่านั้นบ้างครับ

ผมได้ข้อคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นวิบากกรรมหรือเป็นเวรกรรมของแต่ละคนก็จริง แต่ในเมื่อเขาอยู่ในสังคมเดียวกับเราขอให้ช่วยเหลือกันเถอะครับ อย่าปล่อยให้เป็นวิบากกรรมของเขาอยู่อย่างนั้นเลย ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยศักยภาพของประเทศไทยในปัจจุบัน เราสามารถช่วยเหลือพวกเขาเหล่านั้นได้ดีกว่านี้ ในเมื่อรัฐบาลหรือองค์กรใหญ่ ๆ สามารถทุ่มเงินไปกับสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ไม่มีสาระเป็นหมื่น ๆ ล้านได้ ก็น่าจะหันมาทุ่มเทกับคนที่ตกทุกข์ได้ยากบ้าง ถึงแม้พวกเขาจะไม่ใช่ญาติพี่น้องหรือคนที่เรารู้จักก็ตามที แต่เขาก็เป็นคนไทยคนหนึ่งที่อยู่ในประเทศเดียวกับเรา

ไปช่วยบำบัดทุกข์ให้คนมามากมาย แล้วเวลาตัวเองมีทุกข์บ้าง คุณทำอย่างไร

ผมไม่ค่อยทุกข์เรื่องส่วนตัวเท่าไหร่นะครับ ส่วนตัวเป็นคนสบาย ๆ อาจเพราะได้เห็นความทุกข์ของคนอื่นมามากมายจึงรู้สึกว่าความทุกข์ของตัวเองเป็นแค่เรื่องขี้เล็บ แต่ถ้าเป็นในแง่ความผิดพลาดล้มเหลวในชีวิต ผมเคยล้มเหลวมาสองครั้ง ครั้งแรกเกิดขึ้นตอนที่เริ่มเข้าวงการบันเทิงใหม่ ๆ แล้วมีคนชวนทำวงดนตรี ผมลงทุนไปประมาณ 3 – 4 แสนบาท โดยยืมสร้อยยืมเงินแม่ไปลงทุน ทั้ง ๆ ที่ท่านไม่เห็นด้วย แต่เรารั้นจะทำให้ได้ ปรากฏว่าแค่วันแรกที่เปิดวงก็เจอพายุและเจอความผิดพลาดในทุก ๆ ด้าน ทุกคำที่แม่บอกตอนที่ไปยืมเงินกลับมาสู่ความคิดในวินาทีนั้น นั่นคือบทเรียนว่าจะทำอะไรต้องไตร่ตรองให้ดี

อีกเรื่องหนึ่งคือ ตอนที่ผมหลงผิดไปเล่นพนันบอลและเสียเงินไปประมาณ 12 ล้าน ถือว่าชีวิตล้มเหลวสุด ๆ แต่สิ่งที่ผลักดันให้ผมยังสามารถก้าวต่อไปก็คือครอบครัว ทุกคนให้อภัยในความผิดพลาดของผม คนที่คอยเป็นกำลังใจและทำให้ผมมีแรงลุกขึ้นมาทำงานต่อได้ก็คือแม่วันนั้นผมเข้าไปกราบแม่ ท่านก็บอกว่า “ไม่เป็นไรลูก ชีวิตยังเริ่มต้นใหม่ได้” ถ้าเป็นคนอื่นคงสมน้ำหน้า แต่สำหรับคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ว่ายังไงท่านก็พร้อมจะให้อภัยและให้แต่สิ่งดี ๆ กลับมา ผมอยากบอกทุกคนว่า ไม่ว่าทำอะไรผิดพลาดไป ไม่ต้องกลัวและไม่ต้องอายที่จะเล่าให้พ่อแม่ฟัง ยังไงพวกท่านก็รักเรา คำพูดแต่ละคำของท่านก็ล้วนแต่เป็นคำอวยพรทั้งสิ้น ถ้าคุณล้มเหลวในชีวิตหรือหมดพลัง พ่อคุณอยู่ที่ไหน แม่คุณอยู่ที่ไหน กลับไปกราบเท้าท่านเถอะ แล้วคุณจะรู้สึกมีพลัง

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

 

ทำงานจิตอาสาแทบจะเต็มเวลาแบบนี้ คิดจะลาวงการไปเลยหรือเปล่าครับ

ผมเกิดมาจากวงการบันเทิง เล่นหนังมาตั้งแต่ปี 2526 คงจะทิ้งงานตรงนี้ไปไม่ได้ ทุกวันนี้ผมมีบริษัทผลิตหนังของตัวเองและมีความสุขทุกครั้งที่ได้เห็นคนดี ๆ มีงานมีอาชีพที่ดีทำในกองถ่ายของผม แค่ได้เห็นเขากับครอบครัวยิ้มแย้มลืมตาอ้าปากได้ ผมก็มีความสุขมากแล้ว ที่กล้าทำแบบนี้เพราะผมมั่นใจว่าตัวเองคงไม่อดตาย ไปขอข้าวใครกินเขาก็คงให้ผมกินอยู่แล้ว ทุกวันนี้เวลาไปตลาดพ่อค้าแม่ค้าให้กับข้าวติดมือกลับมาเป็นสิบถุง บางทีผมพาลูกน้องสิบกว่าคนไปนั่งกินอาหารร้านหรู เจ้าของร้านเดินมาบอกว่าไม่คิดตังค์ เขาถือว่าได้เลี้ยงคนที่ทำบุญกับคนยากคนจนอย่างพวกเรา

ครั้งหนึ่งที่ผมประทับใจมากคือ ตอนไปถ่ายหนังที่อินเดีย ก่อนเปิดกล้องผมทำพิธีบวงสรวง ระหว่างที่ไหว้พระอยู่ เห็นคนสูงอายุราวสิบกว่าคนเดินเข้ามา ผมก็มองเพราะสงสัยว่าจะเป็นคนไทย ปรากฏว่าพวกเขาเดินมาหาผมแล้วถามว่า “คุณบิณฑ์หรือเปล่าคะ” ผมบอก “ใช่ครับ” พอพูดจบทุกคนก็ทรุดตัวลงกราบเท้าผมเลย ผมต้องรีบประคองให้พวกเขาลุกขึ้น พอคุยกันเขาบอกว่า ได้สาบานกับตัวเองเอาไว้ว่าถ้าเจอบิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ไหน เขาจะกราบเท้าให้ได้ เพราะเคยเห็นสิ่งที่ผมทำมาเยอะ แล้วก็เรื่องที่ผมรักในหลวง ผมรู้สึกดีมากว่า สิ่งที่ทุ่มเทไปโดยไม่หวังอะไรตอบแทนนั้น สุดท้ายเราได้รับตอบแทนกลับมาอย่างน่าอัศจรรย์ใจมาก ทำให้ผมภูมิใจในตัวเอง และต้องสนองศรัทธาของทุกคนด้วยการทำดีตลอดไป ไม่มีอะไรจะมาหยุดหรือทำให้ผมเปลี่ยนใจได้

แล้วเคยได้รับสิ่งตอบแทนในแง่ลบบ้างไหมครับ

มีบ้างครับ เพราะอย่างในเฟซบุ๊กก็มีทั้งคนรักและคนเกลียด คนที่เกลียดก็โพสต์ด่าผมเสีย ๆ หาย ๆ หรือถึงขั้นด่าพ่อด่าแม่ก็มีมากมาย หาว่าเราสร้างภาพ บางทีก็เป็นกระแสที่มาจากโรงพยาบาลบางแห่งที่เห็นแก่เงิน ดูแลคนรวย แต่ไม่ค่อยช่วยคนจน ต้องจ่ายตังค์มาก่อนถึงจะรักษาให้ ไอ้เราก็รู้สึกว่าไม่ถูกต้อง บางครั้งต้องเตือนว่าโรงพยาบาลคือความหวังสุดท้ายของคนป่วยทุกคนนะครับ แม้แต่คนยากคนจน คุณก็น่าจะดูแลเขาให้ดีอย่างเท่าเทียมกัน แต่ความหวังดีนั้นกลับทำให้โรงพยาบาลมาโจมตีผม ไทด์อ่านแล้วเป็นห่วง ก็เคยมาเตือนเหมือนกัน แต่ผมไม่กลัว

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมทำงานด้วยความเต็มใจและจริงใจ ทำด้วยจิตสำนึกอยากช่วยเหลือคน แรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ผมทำงานเพื่อสังคมมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือในหลวง ผมและครอบครัวทุกคนรักและเคารพพระองค์ท่านมาก ผมเคยบอกแม่ว่า ผมรักแม่มากที่สุดในโลก รองมาก็คือในหลวง แม่บอกว่าไม่ต้องรักแม่มากที่สุดก็ได้ แต่ให้รักในหลวงมากที่สุดในโลกรองลงมาค่อยเป็นแม่ ทุกวันนี้เรามีประเทศไทยอยู่ได้ก็เพราะพระองค์ท่าน ตอนที่ยังไม่ประชวร ท่านเสด็จฯไปทุกหนทุกแห่งของประเทศเพื่อไปเยี่ยมพสกนิกรของท่าน ทรงสร้างอาชีพเพื่อให้ทุกคนอยู่ดีกินดี ทุกวันนี้ผมก็ทำตามอย่างท่าน พยายามไปปลดทุกข์ให้กับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก รวมถึงนำพระองค์ท่านไปให้พวกเขาในรูปแบบของพระบรมฉายาลักษณ์ที่ประทับอยู่บนเงินทุกเหรียญ ธนบัตรทุกใบ คล้ายเป็นการบอกว่า พระองค์ท่านทรงเป็นเสมือนความสุขของประชาชน

เสียงตอบรับในแง่ลบที่ได้เจอ ทำให้ความเชื่อเรื่อง “ทำดีได้ดี” สั่นคลอนไปบ้างไหมครับ

ยังเชื่ออยู่ครับ เพราะเข้าใจดีว่าย่อมมีทั้งคนที่ทำดีแล้วได้ดี และคนที่ทำดีแต่ยังไม่ได้ดี แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีวันได้ดี เพียงแต่มันผมอาจจะยังไม่ถึงจุดนั้น หรือมีเคราะห์กรรมที่คุณต้องชดใช้ให้หมดก่อนก็เท่านั้น อย่างตัวผมเองก็มีบ้างที่ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้ามัวคิดว่าเราอยู่กับมูลนิธิฯมา 26 ปี ได้ช่วยเหลือคนมาเยอะแยะ แล้วทำไมถึงยังต้องพบกับความผิดหวัง คิดอย่างนั้นย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไร มีแต่ความท้อแท้ เราต้องยืนหยัดขึ้นมาแล้วสู้ต่อไปวันหนึ่งเมื่อวิบากกรรมในชีวิตหมด เราย่อมได้สิ่งที่ดีตอบแทนกลับมาแน่นอน

ในอนาคตจากนี้ คุณอยากให้ประชาชนจดจำ “บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์” ในบทบาทไหน ระหว่างดาราชื่อดังกับนักสังคมสงเคราะห์

ผมอยากให้ทุกคนจดจำผมในแง่ที่ทำงานเพื่อเพื่อนมนุษย์มากกว่า สำหรับผมแล้วคำกล่าวที่ว่า “ความดังไม่คงที่ ความดีสิคงทน” ยังใช้ได้อยู่เสมอ ในเมื่อประชาชนส่วนใหญ่เขาศรัทธาผมในด้านการทำความดี ช่วยเหลือผู้คน ผมก็คงทำแบบนี้ตลอดไป…และจะทำทุกวันจนกว่าชีวิตจะหาไม่

 

Secret box

ผู้ให้สิ่งที่ประเสริฐ ย่อมถึงฐานะที่ประเสริฐ

พุทธศาสนสุภาษิต

 

ที่มา : นิตยสาร Secret ฉบับที่ 134

เรื่อง : พีรภัทร โพธิสารัตนะ

ภาพ : วรวุฒิ วิชาธร, บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์

Secret Magazine (Thailand)

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.