“ ล่าแต้ม ” คือ วิถีของหญิงสาวกลุ่มหนึ่งที่แข่งขันกันว่าใครจะร่วม “หลับนอน” กับผู้ชายได้จำนวนมากกว่า โดยห้ามซ้ำหน้า ซ้ำคน ใครได้พ้อยต์มากที่สุดก็จะได้รับการยอมรับจากเพื่อนในกลุ่ม
…ฉันเองก็เป็นหนึ่งในนั้น…
ฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดที่ยากจน พ่อแม่ปล่อยฉันไว้ให้ปู่และย่าเลี้ยงเพื่อไปทำงานก่อสร้าง ระหว่างที่อาศัยอยู่กับปู่และย่าฉันมักโดนเอาไปเปรียบเทียบกับญาติผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่เสมอ จนฉันตั้งปณิธานไว้ว่า วันหนึ่งฉันจะสวย น่ารัก รวย และเก่งกว่าญาติคนนั้นให้ได้
เมื่อโตขึ้น ฉันย้ายเข้าไปเรียนในเมืองกับป้า และสามารถสอบได้ที่ 1 ของชั้น ทว่านั่นก็ยังไม่ทำให้ฉันพอใจสักเท่าไหร่ ต่อมาฉันได้งานทำเป็นสาวเชียร์เบียร์ เงินส่วนหนึ่งฉันนำมาส่งตัวเองเรียนจนจบชั้นมัธยม 3 และเข้าเรียนต่อ ปวช. อีกส่วนหนึ่ง ฉันใช้ไปกับของฟุ่มเฟือยเพื่อให้ตัวเอง “สวย” ขึ้นซื้อกระเป๋าบ้าง เครื่องสำอางบ้าง กลับบ้านแต่ละครั้งก็ใส่ทองกลับบ้าน จนญาติ ๆ พากันฮือฮา กลายเป็นคนเด่นคนดังของครอบครัว
ระหว่างนั้นฉันเริ่มมีหนุ่ม ๆ มาติดพันหลายคน เมื่อเห็นว่าเพื่อนบางคนคบผู้ชายแล้วได้สตางค์ ฉันจึงเริ่มหาเงินจากการคบผู้ชายหลายคน มีตั้งแต่อายุ 27 - 50 ปีสับเปลี่ยนคนไปเรื่อย…“พี่ต้องช่วยหนูนะหนูเดือดร้อนเรื่องเงิน” “เดือนนี้หนูขอ 5,000ได้ไหมคะ” นี่คือคำพูดติดปากฉัน
จนกระทั่งเรียน ปวช.ปี 2…ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ฉันปลื้มรุ่นพี่คนหนึ่งมาก ซึ่งโชคดีที่มีโอกาสได้ไปเข้าค่ายกับเขาวันหนึ่งเพื่อนทั้งกลุ่มของรุ่นพี่หลอกฉันว่ารุ่นพี่คนนั้นนัดฉันไปพบทั้งที่เขาเองไม่ได้รู้เรื่องด้วยเลย…กว่าจะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรฉันก็โดนรุ่นพี่ทั้ง 8 คนรุมโทรมจนเจ็บฝังใจได้แต่อาฆาตพวกมันทั้งกลุ่มอยู่เงียบ ๆ คนเดียวว่า “กูจะฆ่ามึงให้ตายหมดทุกคน”
ช่วงเวลานั้นฉันปั้นหน้าเฉย ทำตัวเป็นปกติเมื่อไปอยู่กับลุงและป้า ไม่กล้าบอกใครถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เวลาที่เข้าห้องนอนฉันได้แต่นอนร้องไห้น้ำตาไหลพราก พอผ่านไปไม่กี่วันฉันก็เริ่มทำใจได้ว่า มันเสียไปแล้ว ทำอะไรไม่ได้แล้ว มีอย่างเดียวคือเช็ดน้ำตาแล้วก้าวเดินต่อไป
หลังจากนั้นฉันก็เริ่มมีแฟนอีกครั้งน่าแปลกที่หลังจากเหตุการณ์นั้นแล้ว ฉันกลับมีความต้องการมากขึ้น ฉันจึงหันไปทำตัวแบบเดิม…แต่ทำมากกว่าเดิม เงินที่ได้มาฉันก็เอาไปใช้จ่ายอย่างสุขสบาย มีบางส่วนใช้กับการเรียน แต่อีกส่วนฉันก็เอาไปเลี้ยงผู้ชายหล่อ ๆ เพื่อจะได้อวดกับเพื่อน ๆ ในกลุ่มว่า คนนี้ “กินแล้ว”…
ตลกดีเหมือนกันที่คนที่โดนหลอก “กิน” ส่วนมากมักไม่ค่อยรู้ตัว เพราะส่วนใหญ่คนเหล่านี้จะเป็นเด็กเรียน เช่น ประธานนักเรียน นักกีฬาดีเด่น เป็นตัวท็อปของโรงเรียน ฉันเองก็เป็นเด็กเรียน บางครั้งจึงใช้การเรียนเป็นสะพานไต่เข้าไปหา “เป้าหมาย”…เรียกว่าเป็นตัวช่วยในการอ่อยได้อย่างดี
อาจเรียกได้ว่า ความสัมพันธ์ของฉันกับผู้ชายในเวลานั้นคือการเอาเซ็กซ์มานำความสัมพันธ์ บางคนถ้าเซ็กซ์ไม่โดนใจฉันอาจนอนกับเขาแค่ครั้งเดียว ในขณะที่บางคนคุยกันแค่ไม่กี่ครั้งก็สามารถเข้าโรงแรมด้วยกันได้
ช่วง ปวช.ฉันมีอะไรกับผู้ชายไม่ต่ำกว่า 50 คนใน 1 ปี ได้เงินต่อเดือนไม่ต่ำกว่า 2 - 3 หมื่น ตอนนั้นแฟนที่คบเป็นตัวเป็นตนเริ่มระแคะระคาย จึงให้ฉันไปอยู่บ้านเขาพออยู่ด้วยกันสักพัก ฉันก็ตั้งท้อง แต่แฟนกลับให้ไปเอาออก ทั้งที่ตอนนั้นท้องได้ 4 เดือนแล้ว ด้วยความที่ยังเด็ก ฉันเลยทำตามที่แฟนบอก ซึ่งวันที่เอาออกถึงได้รู้ว่าเด็กในท้องของฉันอายุ 6 เดือนแล้ว พอพ่อแม่ของแฟนฉันรู้เรื่องก็รุมด่าฉันว่า “โง่”ไม่ยอมปรึกษาผู้ใหญ่ สุดท้ายฉันจึงตัดสินใจหอบเสื้อผ้าหนีออกจากบ้านแฟน
หลังจากหนีออกมาได้ไม่นาน ฉันก็ตัดสินใจเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยเปิดของรัฐแห่งหนึ่ง ช่วงนั้นฉันโดนแฟนเก่าตามราวีบ้าง แต่สักพักเราก็ตกลงกันได้ ฉันจึงเริ่มมีแฟนใหม่ แต่หนุ่มคนนี้ไม่ค่อยมีเงินฉันจึงกลับไปทำแบบเก่า จนมีเงินมากพอที่จะสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่ง และเริ่มเข้าสู่เกม “ล่าแต้ม”เต็มตัว
“นักล่าแต้ม” กลุ่มเรามีมากกว่า 20 คนแต่ละคนจะมีลิสต์รายชื่อรุ่นพี่หน้าตาดีของคณะต่าง ๆ มาเก็บไว้…“กิน” 1 คนได้ 1 คะแนน ยิ่งคนไหนได้ยาก เป็นตัวท็อปคะแนนจะยิ่งมากและยิ่งน่าลอง เพราะใคร “จัดการ” ได้ถือว่าเก่งและจะกลายเป็นที่ยอมรับของกลุ่ม โดยกลุ่มจะมีมีตติ้งในแต่ละเดือนเพื่อเช็กคะแนน แต้มเหล่านี้จะถูกนำมารวมกันในแต่ละเทอม ใครได้แต้มสูงสุดก็จะได้ของรางวัลไป
รางวัลของกลุ่มฉันในตอนนั้นคือตั๋วเครื่องบินทัวร์ฮ่องกง 1 สัปดาห์ คนที่ไม่เคยไปเมืองนอกอย่างฉันจึงอยากได้ตั๋วใบนี้มากเสียยิ่งกว่าอะไร!
*** ภาพนี้เป็นเพียงเหตุการณ์จำลอง***
มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันสืบรู้มาว่า รุ่นพี่“ตัวท็อป” คนหนึ่งมักจะคบแต่เหล่าพริตตี้และนางแบบสวย ๆ จึงจัดการโมดิฟายตัวเองขนานใหญ่แล้วผันตัวเองเป็นพริตตี้และนางแบบหนังสือสำหรับผู้ชาย เพื่อที่ตัวเองจะได้ 4 แต้ม…แน่นอนว่า ฉันตกปลาตัวใหญ่ได้ และในที่สุดปีนั้นก็ได้ไปทัวร์ฮ่องกงเรียกได้ว่า ได้ทั้งเที่ยว ได้ทั้งเงิน และยังมีอาชีพที่จะทำต่อไปในอนาคตด้วยคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม!…ในช่วงเวลาที่เรียนนั้น ฉันจึงได้รับการยอมรับจากเพื่อนทั้งกลุ่มว่าทั้งสวย เก่ง และฉลาด
แม้ว่าสิ่งที่ฉันทำอาจดูไม่ดีนักในสายตาคนอื่น แต่สิ่งเหล่านี้ก็สามารถส่งฉันเรียนจนจบปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับสองได้ถึง 3 มหาวิทยาลัย ฉันจึงมีเครดิตดีมากในการทำงาน ทำให้อาชีพพริตตี้และนางแบบของฉันก้าวหน้าไปเรื่อย ๆ จนมีคนชวนไปโชว์ตัวที่ต่างประเทศ
ช่วงที่อยู่ต่างประเทศ บางครั้งก็มีคนชวนไปทานข้าว พอถูกใจก็เข้าโรงแรมคนเหล่านี้จะวางเงินไว้ที่หัวเตียงทั้งที่ฉันไม่ได้อยากได้ สุดท้ายฉันจึงตั้งราคาไว้สำหรับการ “ไปต่อ” ทุกครั้ง และ “ให้ฟรี” ถ้าถูกใจเรื่องบนเตียงเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าไปโชว์ตัวเดินแบบที่ไหน เป็นต้องได้เงินก้อนใหญ่ ๆจากที่นั่นทุกทีไม่มีพลาด!
จนกระทั่ง 3 ปีที่แล้ว ฉันเกิดแพ้ใจผู้ชายคนหนึ่งซึ่งมีพื้นฐานครอบครัวอบอุ่นมาก ผู้ชายคนนี้ไม่เคยรู้อดีตของฉันเลย…และทันทีที่รักสุกงอม เราสองคนก็หมั้นและแต่งงานกัน
ทว่าด้วยความอยากให้มีเงินในการสร้างเนื้อสร้างตัวเร็ว ๆ ทำให้ฉันตัดสินใจ“รับจ๊อบ” หาเงินในแบบเดิม ๆ ที่ต่างประเทศโดยที่คุณสามีไม่เคยรู้เรื่องอะไรเลย แต่การที่ฉันไป “ทำงาน” ต่างประเทศบ่อย ๆก็กลับกลายเป็นการเปิดโอกาสให้สามีมีคนใหม่ และเอาเงินของฉันไปปรนเปรอผู้หญิงอีกคนหนึ่ง!
อนาคตที่ฉันวาดหวังไว้ว่าจะทำงานนี้อีกเพียง 2 เดือนแล้วจะเลิกเพื่อมาดูแลสามีและมีลูกกับเขา กลับแตกละเอียดเป็นผุยผง!
หลังรู้เรื่อง ฉันตัดสินใจว่าจะถอนเงินที่เก็บไว้ก้อนหนึ่งประมาณหกเจ็ดแสนมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ (โดยไร้สามี) แต่แล้วก็กลับพบว่า…เงินในบัญชีเหลือเพียง 450 บาทเท่านั้น! ฉันตกใจจนล้มทั้งยืนในธนาคารนั้นเอง…
หลังจากฟื้นขึ้นมาที่โรงพยาบาล ฉันมีอาการคล้ายสมองช็อร์ต คุยกับใครไม่รู้เรื่องรู้แต่เพียงเงินที่เพียรเก็บมาทั้งชีวิตหายวับไปกับตาเพราะถูกสามีถอนเอาไปให้ผู้หญิงอื่น(ตอนนั้นรู้สึกเสียดายเงินมากกว่าสามีซะอีก!)ซึ่งผู้หญิงคนนี้ก็มาระรานเยาะเย้ยฉันทุกวันจนสุดท้ายความเครียดที่เก็บกดไว้ทำให้ฉันกลายเป็นคนเสียสติ ต้องไปอาศัยอยู่ที่โรงพยาบาลศรีธัญญาเกือบเดือน
พออาการดีขึ้น ฉันเริ่มถอยห่างจากสามีออกมา ทว่ากลับตรวจพบว่า ตัวเองท้อง! ตอนแรกฉันพยายามจะ “ยัดเยียด” ลูกให้เป็นของผู้ชายทุกคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับฉัน ทั้งสามี แฟนที่สิงคโปร์ และคนระดับรัฐมนตรีที่เคยเลี้ยงดูฉัน ต่อมาจึงค่อย ๆ ตัดออกทีละคน ๆ เมื่อมั่นใจแน่ ๆว่าไม่ใช่ลูกของเขา (ซึ่งแต่ละคนก็ดูจะดีใจไม่น้อย!)
หลายคนอาจบอกว่าฉันร้ายกาจมากที่ทำตัวแบบนี้ แต่เพราะช่วงนั้นฉันต้องการเงินจากทุกคนมารักษาโรคทาลัสซีเมียของตัวเองซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง และนำมาเลี้ยงลูกให้มีอนาคตที่ดีต่อไป
ปัจจุบันฉันยังคงไม่รู้ว่าลูกของฉันเกิดจากผู้ชายคนไหน แต่ต้องขอขอบคุณผู้ชายคนนั้นอย่างมากที่ได้มอบของขวัญที่วิเศษที่สุดให้ฉัน
แม้ว่าตอนนี้ฉันยังต้องใช้เงินมากในการรักษาตัว แต่ฉันมั่นใจว่า จะไม่พาตัวเองกลับไปเลือกทางเดิมอีกแล้ว เพราะทุกครั้งที่เห็นหน้าลูก ฉันพบว่าตัวเองไม่สามารถทำตัวเหลวแหลกแบบเดิมได้อีกต่อไป ฉันกลัวเวรกรรมจะมาตกอยู่กับลูกฉันตัดสินใจแล้วว่า จะเลี้ยงลูกด้วยการทำงานสุจริตเพื่อสร้างอนาคตที่ดีให้เขา
ในเมื่อลูกของฉันเลือกให้ฉันเป็น “แม่”ฉันก็จะตั้งใจทำหน้าที่ “แม่” ให้ดีที่สุด
แม่รักลูกนะ…
ข้อคิดจากพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ
เมื่อคุณมีนิสัยในการล่าแต้มฝ่ายลบอยู่แล้ว ก็คงจะทำให้รู้แล้วว่าการทำอย่างนั้นส่งผลดีกับชีวิตหรือไม่ถ้าไม่ และทำให้เราทุกข์กว่าเดิม ก็ลองมาล่าแต้มฝ่ายบวกบ้างดีไหม เช่น หากกตัญญูกับพ่อแม่ได้ 100 แต้ม รักษาศีลได้ 100 แต้ม ทางธรรมได้มีการจัดแต้มไว้อยู่แล้ว เช่น ทำบุญทำทานได้ 10 แต้มรักษาศีลได้ 100 แต้ม ส่วนการภาวนาอย่างการกลับมาดูลมหายใจตัวเองได้1,000 แต้ม ถือว่าได้แต้มมากที่สุดเลย
ดังนั้น ลองมา “ล่าแต้ม” (บวก) กันดีกว่านะ
เรื่อง ณัฐนภ ตระกลธนภาส
หากใครมีเรื่องราวชีวิตจริงที่อยากแบ่งปัน สามารถส่งเรื่องเข้ามาได้ที่ Secret Magazine (Thailand)