เหตุเกิดเพราะกรรมหรือความบังเอิญ…ปู - ปริศนา  กล่ำพินิจ (1)

เมื่อเรื่องราวร้ายๆ ในชีวิตเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเรามักจะตั้งคำถามว่า  เป็นเพราะวิบากกรรมหรือความบังเอิญกันแน่ที่ทำให้ต้องพบเจอกับเหตุการณ์เช่นนี้

ทันตแพทย์สม  สุจีรา  ผู้เขียนหนังสือ“เกิดเพราะกรรมหรือความซวย”  กล่าวว่ามีหลายคนเข้าใจผิดว่า การดำเนินชีวิตของคนเราขึ้นอยู่กับกรรมทั้งหมดทุกวินาที  ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดมาก  เพราะแท้ที่จริงแล้วกรรมมีขอบเขตที่จำกัดในกรอบของตัวเอง  บางครั้งวิถีชีวิตของเราก็เป็นไปแบบบังเอิญตามกฎของความน่าจะเป็นหรืออิทธิพลของทฤษฎีไร้ระเบียบ  โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นบางโรคก็ไม่ใช่เพราะผลของกรรม บางครั้งก็เป็นเรื่องของดินฟ้าอากาศ  เรื่องของอาหารและพืชพรรณ  หรือเป็นไปตามธรรมชาติตามหลักอนิจจัง

ตามกฎของธรรมชาติ  ทุกสิ่งทุกอย่างจะเกิดการเสื่อมอยู่ตลอดเวลา  การเกิด  แก่ เจ็บ  ตายก็เป็นเรื่องของธรรมชาติ  ไม่ใช่เรื่องของกรรม  การที่เรามีใบหน้าเหี่ยวขึ้นมีตีนกา  มีริ้วรอย  นั่นก็เป็นกฎของธรรมชาติแต่เมื่อไรก็ตามที่เรา “เอาความรู้สึก” เข้าไปพัวพันกับกฎของธรรมชาติ  เช่น  รู้สึกทุกข์ร้อนเหลือเกินกับตีนกาบนใบหน้านั่นเป็นเรื่องของกรรม  ซึ่งระดับความทุกข์ของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน  ตามแต่ความแรงแห่งเวทนา  ตัณหา  อุปาทาน  ถ้ายังยึดถือการแก่  การเจ็บ  และการตาย “เป็นของเรา”ก็ต้องประสบกับความทุกข์อยู่ร่ำไป

แม้ว่า คุณปู - ปริศนา  กล่ำพินิจ นางแบบ  นักแสดง  พนักงานประจำสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3  และอดีตพี่เลี้ยงกองประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์  จะไม่ได้กังวลกับริ้วรอยบนใบหน้า  แต่หลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตก็ทำให้เธออดคิดไม่ได้ว่านี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่คงเป็นวิบากกรรมบางอย่างที่ทำให้ประสบพบเจอกับการพลัดพราก  การหย่าร้าง  และการสูญเสียทรัพย์สินเงินทองของรัก

เหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้นและจบลงเช่นไร  อะไรทำให้เธอทำใจยอมรับความจริงได้  เราไปฟังเรื่องราวทั้งหมดกัน

สูญเสียคุณพ่อในวัยเยาว์

ถ้าย้อนกลับไปมองชีวิตตอนเด็ก ๆถือได้ว่าปูเป็นคนที่โชคดีมาก  เกิดมามีคุณพ่อ  (พันเอกปรีชา  กล่ำพินิจ)  คุณแม่อยู่ครบ  ตอนเกิด คุณพ่อได้รับยศร้อยตรีเป็นทหารหนุ่มไฟแรง แต่ก็ต้องโยกย้ายไปนั่นมานี่  ต้องไปรบที่เวียดนาม  เกาหลี ลาว

ส่วนใหญ่ปูและน้อง ๆ จะใช้ชีวิตอยู่ในค่ายทหารสื่อสารที่กรุงเทพฯ  และกองทัพภาคที่  3 ที่พิษณุโลก  จำได้ว่าทุกเช้าจะได้ยินเสียงทหารวิ่งและร้องเพลงอย่างพร้อมเพรียงกัน  การเกิดมาเป็นลูกทหารทำให้ปูได้รับการสั่งสอนเรื่องระเบียบวินัยอย่างเข้มข้นจากคุณพ่อ  ส่วนความเป็นแม่บ้านแม่เรือนตามแบบกุลสตรีจะได้รับจากคุณแม่  แม้ว่าคุณแม่จะเป็นคุณนายนายทหาร  ลูก ๆ เป็นคุณหนู มีพี่เลี้ยง  มีคนขับรถ  ได้เรียนหนังสือในโรงเรียนดี ๆ  แต่ปูกับน้อง ๆ ก็ได้รับการฝึกให้รู้จักทำอะไรด้วยตัวเองกลับจากโรงเรียน ทำการบ้านเสร็จ  ทุกคนมีหน้าที่หมด  คนนี้หุงข้าว  อีกคนขัดรองเท้าอีกคนซักถุงเท้าหรือชุดชั้นใน  (คุณแม่จะสอนให้จำไว้เลยว่า ชุดชั้นในกับถุงเท้าต้องซักเอง  ห้ามให้คนอื่นซักให้)  ผลัดกันไปแบบนี้ทุกวัน  คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงพวกเรามาให้มีความเข้มแข็ง อดทน  โดยเฉพาะคุณพ่อจะสอนว่า  “ก่อนจะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากใคร  เราต้องพยายามให้ถึงที่สุดก่อน  ถ้าทำไม่ได้จริง ๆ ค่อยขอความช่วยเหลือ”

แล้ววันหนึ่งคำสอนนี้ของคุณพ่อก็ทำให้ปูได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง  เพราะในช่วงที่เรียนอยู่  ม.ศ. 5  คุณพ่อก็จากไปอย่างไม่มีวันกลับด้วยอุบัติเหตุรถคว่ำขณะปฏิบัติหน้าที่ที่เขาค้อ  จังหวัดเพชรบูรณ์ทั้งที่อายุเพียง 44 ปีเท่านั้น

ตอนนั้นลาภ  ยศ  สรรเสริญที่เราเคยมีหายวับไปกับตา  ชีวิตเริ่มเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ  จากที่หวังไว้ว่าจะไปเรียนต่อเมืองนอก  ไปพักกับเพื่อนคุณพ่อที่เป็นทูตทหาร  ก็ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปถ้าจะไปคนเดียว  คุณปู่ซึ่งเป็นคนหัวโบราณและเจ้าระเบียบมากก็ไม่อนุญาตให้ไป เพราะไม่เห็นด้วยที่หลานสาวจะไปอยู่เมืองนอกตามลำพัง

ครั้งนั้นปูเสียใจมาก  โกรธคุณปู่ ทั้งที่ถ้ามองย้อนกลับไปจะรู้ว่า แท้จริงท่านรักและหวังดีกับเรามาก  เพราะเมื่อไม่มีคุณพ่อแล้ว  ก็มีท่านเป็นเหมือนเสาหลักให้ครอบครัว  คอยจุนเจือเรื่องเงินทองไม่เคยขาด แม้ว่าหลังจากคุณพ่อเสียแล้ว  ลูก ๆ ทุกคนจะได้รับการส่งเสียให้เรียนจนจบปริญญาตรีด้วยเงินทุนจากองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก  ในพระบรมราชูปถัมภ์  แต่หากขาดเหลืออะไร  ก็มีคุณปู่คอยช่วยเสมอมาสำหรับปู ท่านจึงเป็นฮีโร่อีกคนในชีวิตเพราะคุณปู่คือคนที่ทำให้เราสู้ได้อีกครั้ง  ถ้าไม่มีคุณปู่  พวกเราคงแย่เหมือนกัน  ตอนคุณปู่เสีย  ปูเสียใจมาก  ถือเป็นการสูญเสียครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งในชีวิต

โดยปกติเรามักจะคิดว่าการตายเป็นเรื่องใหญ่โต  เพราะไปยึดติดว่านี่เป็น “พ่อเรา  ปู่เรา”  แต่ในแง่ของธรรมชาติ  การตายเป็นเรื่องธรรมดา  ปัญหาอยู่ที่ตัวเราไปเศร้าโศกเสียใจ  เห็นว่าการตายเป็นกรรมหนักทั้งที่ความจริงแล้วเป็นเพียงการเกิด - ดับของจิตหนึ่งครั้งเท่านั้น  เช่นเดียวกับที่เรามีจิตเกิด - ดับอยู่ทุกวัน แต่ตอนนั้นปูยังคิดไม่ได้อย่างนี้  จนผ่านมาถึงวันนี้จึงเริ่มคิดได้

ความบังเอิญไม่มีจริง

เมื่อไม่ได้ไปเรียนต่อเมืองนอก  ปูก็สอบเข้าเรียนต่อคณะนิเทศศาสตร์  มหาวิทยาลัยกรุงเทพ  ตอนเรียนปี 2 เริ่มไปฝึกงานที่บริษัททำหนังโฆษณา  พี่ ๆ ทีมงานเห็นว่าหน่วยก้านดีก็ให้ถ่ายโฆษณา  ทั้งที่ตอนนั้นปูไม่ได้รักสวยรักงามเลย แถมยังไว้ผมยาว ๆ เซอร์ ๆ  สวมกำไลเงินเต็มข้อมือดูติสต์ ๆ  แต่พอเขาจับแต่งหน้าทาปากแต่งตัวเป็นผู้หญิงหวาน ๆ  อืม…ม…ก็พอใช้การใช้งานได้  ตั้งแต่นั้นมาปูก็มีงานเข้ามาเรื่อย ๆ  ได้ถ่ายโฆษณาหลายชิ้น  ถ่ายมิวสิควิดีโอ  ถ่ายแบบ  เงินก้อนแรกที่ได้มา  ปูแบ่งไปให้คุณแม่ด้วย  แอบปลื้มตัวเองที่มีรายได้ตั้งแต่เรียนปี 2

หลังจากเรียนจบปูก็ทำงานในแวดวงโฆษณา  และรับงานถ่ายแบบถ่ายโฆษณาควบคู่กันมาเรื่อย ๆ  และก่อนที่จะมาทำงานกับทางสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3  ปูก็ทำงานในแผนกประชาสัมพันธ์ของบริษัทนามทอง  ซึ่งขายเหล้า  ไวน์  และเครื่องพิมพ์ดีด

การมาทำงานในวงการบันเทิงเหมือนเป็นเรื่องบังเอิญก็จริง  แต่ปูคิดว่าทุกอย่างถูกกำหนดมาแล้ว  เพราะหลังจากถ่ายมิวสิควิดีโอของ พี่เบิร์ด - ธงชัย  แมคอินไตย์ทางช่องก็เรียกให้ไปเทสต์หน้ากล้อง  และชักชวนให้ปูมาแสดงละคร  แต่ตอนนั้นปูคิดหนักมาก  เพราะคุณปู่ไม่เห็นด้วย  ท่านมองว่าเป็นอาชีพที่ไม่มั่นคง  เต้นกินรำกินแต่ที่สุดปูก็ดื้อดึง  ยืนยันที่จะเล่นละครให้ได้  ถึงขนาดบอกกับคุณปู่ว่า

“ปูจะใช้ชื่อจริง  นามสกุลจริง  ปริศนากล่ำพินิจ  นี่ละในการแสดงละคร  ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวเรา  ถ้าเราไม่เดินไปในทางที่ผิด  ใครก็ดึงเราไปไม่ได้”  ปูดูเป็นเด็กดื้อในสายตาคุณปู่ตลอด  ปูหายไปเกือบปีเพื่อทำงานพิสูจน์ตัวเองให้คุณปู่เห็นว่า หลานคนนี้ไม่ได้ทำอะไรให้เสียหายมาถึงตระกูลจนคุณปู่ยอมรับ  ท่านแอบดูละครที่หลานเล่นปูก็ทำให้คุณปู่ภูมิใจได้ในที่สุด

หลังจากนั้นเหมือนทุกอย่างได้รับการจัดสรรมาแล้ว  เมื่อลาออกจากที่ทำงานเก่ามาทำงานที่สถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3เลขาฯคนหนึ่งของผู้บริหารก็ลาออก  ทำให้ปูจับพลัดจับผลูมาเป็นเลขาฯของ คุณประชา มาลีนนท์  หลังจากทำงานไปได้ระยะหนึ่งเจ้านายก็มอบหมายงานใหญ่ให้ดูแล  คือการเป็นพี่เลี้ยงของกองประกวดในการจัดการประกวดมิสไทยแลนด์เวิลด์

คิดดูว่าเด็กอายุ 24 ปีจะรู้สึกกดดันมากแค่ไหนที่ได้รับมอบหมายงานใหญ่ขนาดนี้  ถึงแม้จะพอมีพื้นฐานที่ดีมาบ้างจากการที่ได้รับการอบรมมาจากคุณพ่อคุณแม่  คุณปู่  แต่ลึก ๆ ก็ยังรู้สึกว่าคนที่จะมาทำงานนี้ต้องดูดี  ต้องมีทั้งคุณวุฒิ  วัยวุฒิและต้องมีประสบการณ์  แต่เราไม่มีอะไรเลย

ปีแรกของการทำงานนี้  ปูยอมรับว่าเครียดมาก  โชคดีที่ได้เรียนรู้งานจากรุ่นพี่ ๆทำให้สามารถปรับตัวได้  แต่บางครั้งด้วยความที่จดจ่อกับงานมาก  และเป็นคนค่อนข้างตรงมาก…ก…ก  เมื่อบวกกับหน้าตาและน้ำเสียงที่ดุ  ทำให้น้อง ๆ ที่เข้าประกวดกลัวปูกันเป็นแถว  จนหลัง ๆ ต้องหันมาปรับปรุงตัวเองให้ลดคำพูดคำจาและท่าทางที่อาจจะไปทำร้ายจิตใจคนอื่นลง

อย่างไรก็ตาม  มีน้อง ๆ หลายคนมาขอบคุณปูที่ดุเขาในวันนั้น  เพราะทำให้เขานำมาใช้ในการทำงาน  ทั้งเรื่องความมีระเบียบวินัย  การตรงต่อเวลา  เขารู้ว่าเราดุเพราะอะไร  แค่นี้ปูก็ปลื้มมากแล้ว  ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันตลอด  ปูสุขใจที่ได้เห็นหลาย ๆคนเจริญก้าวหน้า  มีครอบครัวที่อบอุ่นตอนนี้ปูมีหลาน ๆ เพียบเลย

ตอนนั้นดูเหมือนเรื่องงานกำลังไปได้ดีและดีมาก ๆ เสียด้วย  แต่เรื่องความรักนี่สิ…ถ้ามองในทางพุทธศาสนา  การตัดสินใจของเราเป็นไปตามกฎแห่งกรรม  การที่คนสองคนได้มาแต่งงานกันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เป็นเรื่องของพลังแห่งกรรมที่ทั้งคู่เคยทำร่วมกันมา  จนทำให้เกิดดวงจิตที่รักใคร่ชอบพอต่อให้ใครบอกว่าเขาคนนั้นไม่ดีอย่างไร  แต่เมื่อเรารักเสียอย่าง  คำห้ามปรามของใครก็ไร้ความหมาย  ทั้งที่จริง ๆ แล้วปูเคยตั้งใจไว้ว่าจะไม่แต่งงาน  ไม่มีลูก  อยากใช้ชีวิตสนุกสนานอยู่กับเพื่อน ๆ  เพราะปูมีเพื่อนเยอะมาก  แต่คงเพราะพรหมลิขิตที่ทำให้เราต้องมาชดใช้กรรมร่วมกัน

ชีวิตรักของปูจึงต้องดำเนินไปบนหนทางแห่งทุกข์  และต้องเผชิญกับวิบากกรรมหลายรูปแบบ…

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

Posted in MIND
BACK
TO TOP
A Cuisine
Writer

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.