จากเป็น หรือจากตาย หากรู้วิธีก็ไม่เจ็บ
พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ พูดถึงเรื่องการพลัดพราก ทั้ง จากเป็น และจากตายเอาไว้ ดังบทสนทนาต่อไปนี้
ทำไมคนเราต้องมีการจากลา การพลัดพรากคะ
เป็นหลักธรรมชาติ มีพบต้องมีจาก สิ่งนี้เป็นของคู่โลก ของประจำโลก พลังงานมีแรงขับเคลื่อนอยู่ตลอด ทุกอย่างต้องมีการเคลื่อนไหว กายเป็นสสาร จิตเป็นพลังงาน เช่นเดียวกัน เหมือนโลกที่มีการหมุนไป ทุกอย่างมีการเคลื่อนไปตลอดเวลา สัตว์โลกทั้งหลายทั้งปวงจึงมีการพบ เจอ จบ จาก วนเวียนกันไปแบบนี้
แล้วทำไมเวลาจาก เราจึงรู้สึกเสียใจล่ะคะ
ปกติแล้วหลังจากเจอสิ่งนู้นสิ่งนี้ จิตวิญญาณตามธรรมชาติจะมีปฏิสัมพันธ์กัน ขึ้นอยู่กับว่าเราจะไปเกี่ยวข้องกับสิ่งนั้น ๆ แบบไหน ถ้าจิตนั้นมันโง่ มีอวิชชาคลุมอยู่ก็จะหลงไป มีความยินดี มีสายใยหรือเยื่อใยอยู่ สายใยนั้นก็จะกลายเป็นอุปาทาน ทำให้เกิดความพอใจยินดี กลายเป็นสังโยชน์ สุดท้ายพอต้องจรจากไปจึงกลายเป็นอาลัย เสียใจ ทุกข์ใจ เพราะมันไม่อยากพรากจากกัน แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่มีใครฝืนธรรมชาติได้ ประเด็นที่น่าสนใจคือ เราทุกคนเมื่อพบสิ่งไหนก็มีโอกาสเกิดสายใย ความผูกพันกับสิ่งนั้นหรือคนคนนั้นคนเดียว แต่ถ้าได้ปฏิบัติธรรม เมื่อพบสิ่งไหนก็จะเป็นเพียงแค่ “พบเจอ” แต่ไม่ได้สร้าง “ภพ” หรือสร้างอุปาทาน เมื่อพบแล้วก็พรากจากจรกันไป จบแบบไม่อาลัย ไม่มีสายใย อาจทำกิจทำอาชีพโดยสมมุติเป็นธรรมร่วมกัน เกี่ยวโยงกันตามสถานะ แต่จิตยังบริสุทธิ์เหมือนเดิม ไม่มีราคะ โทสะ ไม่มีอกุศลใด ๆ เป็นเครื่องร้อยรัดให้เกิดสังโยชน์
พระอาจารย์คะ มีคนบอกว่า สิ่งที่เจ็บกว่าการจากลาคือการจากไปทั้งที่ยังรักและผูกพัน
อ้าว รักกันจะไปทุกข์ทำไม จากกันแบบยังรักอยู่ก็ดีแล้วนี่ (หัวเราะ)
แต่มันเจ็บนี่คะ
เจ็บก็โง่ ส่วนมากคนเราเจ็บจากกิเลส จากความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ผูกพัน หวงแหนกอดรัดไว้ จริง ๆ แล้วความรักของชาวโลกไม่ใช่ความรักที่บริสุทธิ์ แต่เป็นความรักที่เห็นแก่ตัว เพราะต้องมีความผูกและพันติดมาด้วยเสมอ เรารักใครก็ต้องการให้คนนั้นรักและทำดีกับเราคนเดียว ไม่อยากให้ทำดีกับคนอื่น จึงเป็นความรักที่ไม่บริสุทธิ์ มีความเห็นแก่ตัวอยู่ มันถึงเจ็บไง…ทั้งที่จริง ๆ แล้วสรรพสิ่งเป็นของกลาง ไม่มีใครเป็นเจ้าของอะไร
แต่บางทีมันก็เห็นกันตำตานะคะ ว่านี่งานฉัน ผัวฉันเมียฉัน จะบอกว่าไม่ใช่ของฉัน…มันก็ไม่ใช่
คนส่วนมากคิดว่าตัวฉันเป็นของฉัน ของฉันก็เป็นของของฉัน แต่ถ้าลองมาปฏิบัติจะพบว่า ตัวเราไม่มีแล้วของเราจะมีได้อย่างไร เรียกว่าก้าวพ้นความเป็นบุคคล นาย ก. ข. คน สัตว์ แต่ถ้าไม่ได้ปฏิบัติ ความรู้สึกนี้จะไม่เกิดปัญหาของโลก เกิดจากบัญญัติสมมุติทั้งนั้น ของของใคร ใครก็หวง จึงเกิดสงครามขึ้นมาในครอบครัว ในชาติ ในโลก
การฝึกกรรมฐานจะช่วยถอดถอนความเป็น “ของของฉัน” จากข้างใน เพราะมันไม่มีคน ไม่มีใคร เป็นแค่ธรรมชาติ ธาตุ 4 ขันธ์ 5 เมื่อไม่ได้ปฏิบัติ จึงทำได้เพียงแค่ข่มใจ ปลอบใจ ทำเหมือนว่าลืมได้ แต่จริง ๆ แล้วไม่ได้พ้นทุกข์จากข้างในเลย แบบที่เขาเรียกว่า “ตัดใจไม่ลง” จริง ๆ แล้วหลายคนที่คร่ำครวญเสียใจเวลาจากไป เพราะไม่ได้ทำสิ่งที่ดีที่สุดเมื่ออยู่ด้วยกัน แต่หากเรามอบความรักและปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดแล้ว ไม่เคยบกพร่องในสิ่งไหน เวลาจากกันในใจจะไม่ค่อยคร่ำครวญ ไม่เสียดาย เพราะเรารู้ว่าได้ปฏิบัติหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว เรียกว่าเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดที่ได้อยู่ด้วยกันแม้เป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม คนเราไม่ได้สร้างเหตุที่จะมาเจอเพียงคนเดียวในสังสารวัฏนี้ เขาหรือเราอาจจะไปเจอคนใหม่ได้ทั้งนั้น ทุกอย่างย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เราสร้างเหตุเจอผู้คนมากมายร้อยแปดพันประการ ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นอยู่คนเดียวก็เหมือนปิดกั้นตัวเอง เช่น ไปสาบานว่าจะรักและรับใช้เขาคนเดียวตลอดกาล ทั้งที่หลังจากนี้อาจมีคู่บุญคู่บารมีเดินเข้ามาในชีวิตก็ได้
ตามกฎธรรมชาติแล้ว เมื่อมีสิ่งหนึ่งจากไป ต้องมีสิ่งใหม่มาทดแทน ถ้ามัน “ไม่ใช่” ก็ต้องมีเหตุให้ต้องเลิกราจากจรกันไปอยู่แล้ว สิ่งใหม่ที่เข้ามาอาจเป็นคู่บุญบารมีที่ทำให้ชีวิตดีกว่าเดิม หรืออาจเป็นเจ้ากรรมนายเวรที่เดินเข้ามาแล้วแย่กว่าเดิมก็ได้ (หัวเราะ) แม้แต่การเปลี่ยนที่ทำงาน เปลี่ยนสถานที่อยู่ บางคนไม่ยอมเปลี่ยน ทั้งที่บางทีมันไม่ดี ไม่ใช่ตาน้ำ บางคนพอไปต่างประเทศหรือได้เปลี่ยนที่ทำงาน อาจได้เจอตาน้ำ เป็นบ่อเงินบ่อทอง เพราะฉะนั้นธรรมที่ว่าไม่ให้ยึดมั่นถือมั่นจึงเป็นสิ่งที่สุดยอด
แปลว่าทุกคนควรปฏิวัติตัวเอง เปลี่ยนงาน เปลี่ยนแฟน หรือเปลี่ยนสามีภรรยาแล้วใช่ไหมคะ (หัวเราะ)
ไม่ได้หมายถึงอย่างนั้น แค่ให้อยู่กลาง ๆ เอาไว้ แล้วแต่เหตุปัจจัยที่เข้ามา ถ้างานหรือคนที่เราอยู่ด้วยไม่เกื้อกูลกัน เช่น นาวาชีวิตครอบครัวนอกจากไม่ช่วยกันพายแล้ว ยังมาทิ่มมาตำเรือให้รั่ว บ้านช่องข้าวของเสียหาย ถูกตบตีจนบาดเจ็บ แบบนี้ก็น่าคิดดูใหม่ เพราะไม่เช่นนั้นเราจะสะสมอกุศลรายวัน รายชั่วโมง หรือนาที พ่อแม่ได้ยิน ใจก็พลอยเป็นอกุศลไปด้วย เพราะมีแต่ความไม่สบายใจ ทุกข์ใจ ลองตรึกตรองดูว่า ถ้านาวาลำนี้เป็นแบบนี้ ต่อไปก็จะจมในวัฏสงสาร เพราะมัวแต่สะสมบาปอกุศลร่วมกัน สู้ขึ้นฝั่งรับคนใหม่มาเป็นแม่ย่านาง หรือรับพันท้ายนรสิงห์คนใหม่มาช่วยกันถ่อช่วยกันพายดีกว่า อย่างเช่น คนที่มีอัธยาศัยต้องกัน มีศรัทธา ศีลจาคะ ปัญญาต้องกัน เป็นคู่บุพเพสันนิวาส มีศรัทธาเสมอกัน
แบบนี้น่าจะดีกว่าแน่นอน
เรื่อง พระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ
เรียบเรียง ณัฐนภ ตระกลธนภาส