ตั้งแต่จำความได้ชีวิตนี้มีแค่ผมกับย่าเท่านั้น ย่าดีกับผมแต่ผมกลับเลือกที่จะเป็น เด็กค้ายา
คำที่ยังวนเวียนอยู่ในหัวผมไม่รู้จักจบสิ้นจึงมีแต่คำว่า “เสียใจ”
ผมโตมาในครอบครัวที่มีกินมีใช้ ไม่ขัดสน พ่อกับแม่เสียชีวิตตั้งแต่ผมยังเล็ก ย่าจึงต้องรับช่วงดูแลผมต่อ ตั้งแต่จำความได้ชีวิตนี้มีแค่ผมกับย่าเท่านั้น ถึงผมจะเป็นหลานรัก แต่ย่าก็ไม่ได้ตามใจจนเกินไป อะไรไม่ดี ไม่ควรทำ ท่านก็ดุด่าว่ากล่าว แต่มีหรือที่เด็กดื้อ ๆ อย่างผมจะฟัง (เด็กค้ายา)
ผมเริ่มฉายแววเกเรตั้งแต่เรียนชั้นประถม แต่ก็เกเรได้แค่ตามประสาเด็ก ๆ คือเรียนบ้าง เล่นบ้าง มาออกลายเต็มที่เมื่อขึ้นชั้นมัธยม ผมโดดเรียนไปเล่นฟุตซอลบ่อย ๆ ถึงจะเอาดีด้านเรียนไม่ได้ ก็ใช่ว่าจะไม่เอาเรื่องอะไรเลย ผมฝึกซ้อมจนกระทั่งมีโอกาสไปเล่นให้สโมสรหนึ่ง ในการแข่งขันฟุตซอลลีก รุ่นเยาวชน
เมื่อเห็นว่าการเตะฟุตซอลทำให้มีรายได้ผมจึงเลือกเดินสายเล่นกีฬาเต็มตัว โดยพยายามประคับประคองการเรียนให้ไปรอดด้วย ตามคำแนะนำของผู้ว่าจ้าง แต่แล้วเมื่อถึงคราวต้องเตะนัดหนึ่งที่เซ็นทรัลเวิลด์ ผู้จัดกลับแจ้งว่าการแข่งขันต้องเลื่อนไปก่อนเพราะเกิดเหตุการณ์ทางการเมือง การเตะบอลของผมจึงต้องพักยาวอย่างไม่มีกำหนด
ผมกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ไม่นานก็ตระหนักว่า การไม่มีเงินใช้เป็นปัญหาสำหรับผม ไม่ใช่เพราะผมมีภาระต้องใช้จ่ายมากมายแต่เพราะผมโตแล้ว จึงไม่ต้องการแบมือขอเงินย่าเหมือนตอนเด็ก ๆ อีก เวลานั้นผมคิดแต่เรื่องหาเงินใช้
กระทั่งวันหนึ่งมีเพื่อนในโรงเรียนมานำเสนองานง่ายค่าตอบแทนงามให้ผมอย่างกับรู้ใจกันมาก่อน งานที่ว่านี้ภาษาพวกผมเรียก “ทำยา” หรือพูดให้คนทั่วไปเข้าใจง่าย ๆ คือ ค้ายา รู้ทั้งรู้ว่ามีแต่เสี่ยงกับเสี่ยง แต่ก็น่าลองดู ผมบอกตัวเองว่าไม่มีทางถลำลึกเกินตัวผมเอาตัวรอดได้แน่ ถ้าไม่ดีก็แค่เลิกทำ ก็เท่านั้น
โจทย์แรกของผมคือนำยา 10 เม็ดไปขายให้ผู้เสพ ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากเย็นเท่าไหร่นัก เพราะเพื่อนแนะนำวิธีหาลูกค้าให้เสร็จสรรพส่วนเรื่องรายได้นั้นไม่ต้องพูดถึง ของไป เงินมา ครึ่งวันแรกก็ได้แบงก์ม่วงมาง่าย ๆ
ไม่นานจากที่มีลูกค้าหนึ่งรายก็เพิ่มจำนวนเป็นกลุ่ม ทำให้ยาที่สั่งเพิ่มจำนวนตามไปด้วย จาก 10 เป็น 20 เป็น 30 เข้าอีหรอบนี้มีหรือที่ผมจะถอนตัว
ผมสั่งยามาเก็บไว้ เผื่อว่ามีลูกค้าสั่งของจะได้ส่งให้รวดเร็วทันใจ แล้วนำยาทั้งหมดไปฝังไว้ใต้ดินที่บ้าน โดยที่ย่าไม่ได้ระแคะระคายแม้แต่น้อย ส่วนตำรวจก็จับพิรุธผมไม่ได้เช่นกัน
ถึงแม้ผมจะค้ายา แต่ไม่เคยคิดลองเสพเพราะรู้ว่าการเสพยาไม่ใช่เรื่องดี เมื่อผมเลือกที่จะไม่เสพ จึงต้องทำการบ้านมากกว่าคนอื่นด้วยการจดจำสี กลิ่น และรูปร่างของยาแต่ละตัว ว่ายาแบบไหนเรียกว่า “งานดี” หรือยาฤทธิ์แรงที่ผู้ซื้อต้องการ
ผมอยู่ในวังวนนั้นได้ประมาณหนึ่งปีก็เริ่มมีเงินเก็บ พอหาเงินมาได้ง่ายก็ใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย เห็นคนมีตังค์กินอะไรก็ไปกินอย่างเขาบ้าง เพื่อนชวนไปไหน ผมไม่เคยปฏิเสธ แถมยังหน้าใหญ่ เลี้ยงเขาทุกครั้งนอกจากนี้ผมยังทุ่มเงินไปกับรถคู่ใจและอะไหล่แต่งรถ จนกระทั่งย่าเริ่มสงสัย ผมได้แต่บอกไปว่ายืมเพื่อนมาขับเท่านั้น
เมื่อหาเงินได้แล้ว การเรียนก็ไม่ได้สำคัญอะไรอีกต่อไป ผมโดดเรียนบ่อยขึ้นกว่าเดิมจนครูต้องโทร.ไปบอกย่า ย่าดุด่าผมแต่ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้น บอกย่าว่าจะไม่ไปเรียนอีกต่อไปแล้ว ย่ารู้ดีว่าผมเป็นคนรั้นพูดไปก็เปล่าประโยชน์ จึงได้เพียงพูดว่า
“ตามใจ ชีวิตมึง มึงเลือกเอง”
แล้วย่าก็พาผมไปลาออกจากโรงเรียนวันรุ่งขึ้น สถานภาพนักเรียนของผมจึงสิ้นสุดอยู่แค่ชั้นมัธยมสองเท่านั้น
ผมใช้ชีวิตตามอำเภอใจ ขายยาเที่ยวเล่นอย่างสำราญ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวัน ๆ แล้ววันหนึ่งก็มีข่าวแว่วมาว่า ชื่อของผมเริ่มเข้าหูตำรวจเข้าให้แล้ว จึงตัดสินใจออกจากบ้านย่า เพราะไม่ต้องการให้ตำรวจรู้แหล่งกบดาน
ผมไปอาศัยอยู่บ้านแฟน โดยที่แม่ของเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมทำธุรกิจมืด ในสายตาผู้ใหญ่ ผมเป็นเพียงเด็กวัยรุ่นคนหนึ่งที่ทำงานพาร์ตไทม์จนเลี้ยงตัวเองได้ เขาจึงยินดีต้อนรับอย่างไม่รังเกียจ
อันที่จริงผมครุ่นคิดกับตัวเองมาสักระยะแล้วว่า ผมจะเลิกค้ายาก่อนถึงวันเกิดที่กำลังจะมาถึง เวลานั้นผมตั้งใจว่าจะเก็บเงินอีกสักก้อน จากนั้นผมจะหยุด
กระทั่งวันหนึ่งเพื่อนที่เสพยาโทร.มาหาเร่งให้เอายาไปให้ 5 เม็ด เขาบอกว่าเพื่อนฝากซื้อมาอีกต่อหนึ่ง ผมจึงนัดหมายเขาที่สะพานหลังวัดแถวบ้าน ก่อนจะรีบบึ่งรถออกไป
เมื่อถึงที่นัดหมาย ผมส่งของให้เขาตามที่สั่ง ส่วนเขายื่นเงินสดให้ผม ผมรีบนับเงินยัดใส่กระเป๋า แล้วสตาร์ทรถเตรียมขับออกไปทันที
ผมอดแปลกใจไม่ได้ เพราะไม่เคยมีใครสั่งซื้อยาจำนวนน้อยขนาดนี้มาก่อน อีกอย่างผมไม่เคยรับเงินสดจากลูกค้า ปกติใช้วิธีโอนเงินผ่านบัญชีเท่านั้น
แล้วผมก็ได้คำตอบ เมื่อมีชายคนหนึ่งวิ่งมาดักหน้ารถผมอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็กระชากผมลงมาจากรถ ก่อนจะใส่กุญแจมือแล้วกดผมนั่งลงกับพื้น ทุกอย่างเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ผมรู้มาตลอดว่าสิ่งที่ทำเสี่ยงขนาดไหน รู้ดีว่าตำรวจล่อซื้อยาทุกวัน วันหนึ่งหากประมาทอาจติดตะรางได้ง่าย ๆ แต่ไม่ทันคิดว่า “วันหนึ่ง” จะมาเร็วขนาดนี้
ผมตั้งใจไม่บอกให้ย่ารู้ แต่ตำรวจบอกว่าผมยังเป็นเยาวชน ต้องตามตัวผู้ปกครองให้มารับทราบ เมื่อย่ามาถึงสถานีตำรวจ ผมแกล้งเฉไฉบอกไปว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นแต่ความลับไม่มีในโลก ตำรวจที่นั่นรู้จักกับย่าผม เขาจึงเล่าทุกอย่างให้ย่าฟัง
ย่าดุผมเหมือนทุก ๆ ครั้งที่เห็นผมเกเร แต่ที่ต่างออกไปคือคราวนี้ผมเถียงไม่ออกสักคำ สิ่งที่ย่าว่ากล่าวตักเตือนมาตลอดถูกต้องทั้งสิ้น ผมจึงได้แต่นั่งนิ่ง เงียบและฟัง
ตำรวจส่งตัวผมเข้าไปยังห้องขัง ผมมองคล้อยตามย่า แม้จะดึกดื่นแล้ว แต่ย่าก็ไม่ยอมกลับบ้าน ได้แต่เดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องขัง ภาพย่าตอนนั้นทำให้ผมรู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ ท่านแก่มากแล้ว ไม่น่าจะต้องมาเดือดร้อน ลำบากใจกับผมอย่างนี้เลย
วันรุ่งขึ้นตำรวจส่งตัวผมไปที่ศาล ศาลพิพากษาให้ผมเข้าฝึกอบรมที่ศูนย์ฝึกอบรมเด็กและเยาวชนขั้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 3 ปี พร้อมคัดค้านการประกันตัว เพราะถือว่าผมเป็นผู้ค้ารายใหญ่
สีหน้าย่าฉายแววความเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัด ท่านกลัวผมจะอยู่ไม่ได้ แต่ผมปากแข็งบอกไปว่า
“โตแล้ว ใครจะอยู่ไม่ได้”
ทั้ง ๆ ที่ในใจคิดกังวลไปต่าง ๆ นานาผมไม่รู้ว่าโลกภายในนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าจะมีใครมาเอ็นดูเราบ้าง ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นห่วงย่า แต่สุดท้ายแล้วสิ่งเดียวที่ทำได้คือก้มหน้ายอมรับผลของสิ่งที่ตัวเองทำ
ผ่านมาเจ็ดเดือนแล้วที่ผมฝึกอบรมอยู่ที่นี่ ช่วงเวลาที่ผ่านมาทำให้ผมได้ทบทวนเรื่องราวในอดีต ผมไม่ได้พลาดแค่เพียงเรื่องที่หลงเข้าไปใช้ชีวิตในมุมมืดเท่านั้น แต่พลาดที่เคยมองครอบครัวเป็นเพียงอากาศ ตอนนี้ผมรู้แล้วว่าอากาศที่ว่านั้นอยู่รอบตัวผมเสมอ ทุกครั้งเวลาที่ผมสร้างความเดือดร้อน ไม่ใช่แค่ตัวผมคนเดียวที่เดือดร้อน แต่ย่าเองก็เดือดร้อนเพราะเป็นห่วงผมเช่นกัน
ผมไม่อยากทำอะไรพลาดอีกแล้ว ตอนนี้ผมกำลังเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเริ่มเรียนมัธยมต้นอีกครั้ง และหลังจากออกไปเป็นอิสระ ผมตั้งใจจะเรียนต่อปวช.ให้ได้ กลับไปเล่นกีฬาเหมือนเดิม และกลับไปดูแลย่า ผมรู้ดีว่าเมื่อถึงวันนั้นชีวิตคงไม่ง่ายเหมือนที่คิด ต่อให้ผมทำดีแค่ไหนหลายคนคงไม่เชื่อถือ แต่ผมจะต้องอยู่กับมันให้ได้และไม่หวนกลับไปทางเดิมอีก
อย่างไรก็ตาม ทางเดียวที่ผมพอจะทำได้ดีที่สุดวันนี้คือ ทำให้ย่าสบายใจที่สุดด้วยการแสดงให้ท่านเห็นเมื่อมาเยี่ยม ว่าผมสุขสบายดี แม้ต้องพยายามสะกดน้ำตาตัวเองไว้ก็ตาม
ถึงวันนี้ผมจะยังลบความเสียใจออกไปไม่ได้ แต่ต่อจากนี้ผมจะไม่สร้างมันขึ้นมาอีก พอแล้วกับชีวิตที่ไม่ดี ผมขอหยุดมันไว้แค่นี้
แง่คิดจากพระมหาวีระพันธ์ ชุติปัญโญ (นามปากกา “ชุติปัญโญ”)
วัดป่าปาลเดชธรรม อำเภอสามชัย จังหวัดกาฬสินธุ์
คนบางคนมักแสวงหาความสุขและคุณค่าในตัวเองด้วยวิธีการที่ไกลตัวและขลาดเขลา ด้วยเข้าใจว่าชีวิตของเราหากได้รับการยอมรับจากคนอื่นคงจะเป็นความสุขที่ช่วยทำให้ชีวิตคลายเหงาได้ ทว่านั่นกลับเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนจากสิ่งที่ชีวิตควรพบเจออย่างน่าเสียดาย
เพราะชีวิตที่ทรงคุณค่าและมีความหมายนั้น ขึ้นอยู่ที่ว่าเราผู้เป็นเจ้านายของชีวิตมีวิธีคิดและปฏิบัติต่อตัวเองอย่างซื่อตรงหรือไม่ หรือบิดเบี้ยวออกจากครรลองที่ดีงามอย่างไร นั่นต่างหากคือสิ่งที่จะมากำหนดชะตากรรมของเราให้เปลี่ยนไป
เราควรมองหาคุณค่าชีวิตที่มาจากตัวเรา โดยมีเราเป็นผู้เฝ้ามองเพื่อเห็นในสิ่งที่ผิดพลาด แล้วแก้ไขให้กลายเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ทำสิ่งที่งดงามอยู่แล้วให้มีความงามยิ่งกว่าด้วยการตระหนักรู้อย่างมีเหตุผล เราควรมองให้เห็นคุณค่าจากสิ่งที่เรามีอยู่และใกล้ตัวแล้วรู้สึกภูมิใจโดยไร้การเปรียบเทียบ ไม่มองไกลออกไปด้วยใจที่อ้างว้างไร้ที่หวัง แต่รู้จักมองเข้ามาภายในใจ แล้วทำความเข้าใจที่จะรักตัวเองด้วยจิตที่เมตตาอย่างผู้มีปัญญา
แล้วความสุขและความภาคภูมิใจที่ทำให้ชีวิตนั้นดูสง่า เพราะคุณค่าของสิ่งดีงามปรากฏ ย่อมเป็นแรงส่งให้ชีวิตได้ก้าวต่อไปอย่างทรงพลัง ซึ่งจะทำให้เรากล้าที่จะก้าวผ่านทุกสิ่งอย่างด้วยความรู้สึกที่ไม่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง นิกกี้ เรียบเรียง รำไพพรรณ บุญพงษ์
ภาพ นิตยสาร Secret แบบ ซัน (บุคคลในภาพเป็นเพียงนักแสดงแทนเพื่อประกอบเรื่องราวนี้เท่านั้น)
บทความน่าสนใจ
True story : ชีวิตจริงของ “ซินเดอเรลล่า” เรื่องจริงยิ่งกว่านิยาย