“การเปลี่ยนแปลง”คือเรื่องธรรมดาของโลก หมวย อริสรา กำธรเจริญ
โลกนี้ไม่มีอะไรยั่งยืน ทุกๆ วินาทีย่อมเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าจะเป็นตัวคุณเอง ครอบครัวคนรอบข้าง หรือปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ สิ่งสำคัญอยู่ที่ว่าเมื่อการเปลี่ยนแปลงแวะเวียนเข้ามาหา คุณจะรับมือกับมันอย่างไร
หมวย หรือ ดร.อริสรา กำธรเจริญ ผู้หญิงเก่งที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันมานาน ทั้งในแวดวงข่าวสารและวงการบันเทิง ในฐานะ (อดีต) นักแสดงและพิธีกรรายการปกิณกะบันเทิงหลายรายการ เธอมองว่าทุกอย่างในโลกนี้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเสมอ ยิ่งในวงการสื่อสารมวลชนด้วยแล้ว การเปลี่ยนแปลงยิ่งถือเป็นเรื่องธรรมดา ทว่าสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องมีคือ ความเข้าใจและยอมรับ จากนั้นขั้นต่อไปต้องรู้ว่า ปัจจุบันขณะหรือช่่วงเวลาที่คุณมี ณ ตอนนี้ คือช่วงเวลาที่คุณต้องทำให้ดี ให้เต็มที่ที่สุด เพราะเมื่อไรก็ตามที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นมา ไม่ว่าจะร้าย กลางๆ หรือว่าดี คุณก็จะอยู่กับมันได้โดยที่ไม่นึกเสียใจกับการเปลี่ยนแปลงนั้นๆ เลย
เขาคือช่างกลึงและเธอคือแม่บ้าน
ชีวิตที่ผ่านมามักจะมีคนถามบ่อยๆ ว่าทำไมหมวยขยันจัง ทำไมถึงชอบทำงาน คิดไปคิดมา หมวยก็นึกได้ว่าเราได้ความขยันมาจาก“คุณพ่อ”นี่เอง ส่วนลักษณะนิสัยอื่นๆ ก็ซึมซับมาจาก “คุณแม่”(บ้าง)
นั่นเป็นเพราะว่าตั้งแต่จำความได้ หมวยก็จะเห็นคุณพ่อยืนอยู่หน้าแท่นกลึง (ที่บ้านทำกิจการโรงกลึง) ทำงานตลอดตั้งแต่เช้าจรดเย็นและทำอย่างนี้ทุกวันแทบไม่มีวันหยุดเลย ถึงคุณพ่อจะอายุมากแล้ว แต่ท่านก็ยังคงหยิบจับงานในโรงกลึงและทำนั่นนี่ไปเรื่อยๆ จะว่าไปแล้ว ความขยันของหมวยยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของคุณพ่อด้วยซ้ำ!
ส่วนคุณแม่ หมวยถือว่าท่านเป็นต้นแบบในเรื่องความอดทน ความคิดสร้างสรรค์ การแก้ปัญหา และความมัธยัสถ์ ซึ่งเรื่องนี้คุณแม่ถือว่า “สำคัญ” เพราะถ้าเรารู้จักคุณค่าของเงิน เราก็จะไม่ใช้จ่ายอย่างประมาท คุณแม่ย้ำบ่อยๆ ว่า “ไม่ใช่ว่ามีตังค์แล้วต้องทำทุกอย่างแพงๆ” อย่างเรื่องการกิน คุณแม่จะสอนว่าเราไม่จำเป็นต้องกินอะไรให้แพงมาก กินเป็นหมื่นกับกินแค่หลักร้อย ลงท้ายก็อิ่มเหมือนกัน
คุณแม่สอนว่าอาหารเช้าเป็นสิ่งสำคัญ และเพราะอย่างนี้คุณแม่จึงเตรียมข้าวเช้าให้ลูกๆ ทุกคนทานก่อนไปโรงเรียนเสมอ พวกเราจะได้เรียนหนังสือด้วยความตั้งใจ ไม่หิวและทำให้เรียนได้ดี ซึ่งเรื่องนี้หมวยถือว่าคุณแม่มองการณ์ไกลมาก
สำหรับหมวยแล้ว คุณพ่อคุณแม่คือแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดค่ะ
ใครๆ ก็ฝันได้ แต่ต้องรู้จักเดินตามฝัน (จริงๆ)
หมวยรู้จักหนังสือแปลเรื่อง ดอกไม้สำหรับมิสซิสแฮรีส (Flowers for Mrs. Harris) ตั้งแต่สมัยเรียนปี 1 คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพราะตอนนั้นที่คณะนำมาดัดแปลงเป็นละครเวที
เรื่องมีอยู่ว่า มิสซิสแฮรีสเป็นแม่บ้านธรรมดาๆ ที่รับจ้างทำงานบ้านทั่วไปในลอนดอน แต่สิ่งที่ทำให้เธอต่างจากแม่บ้านคนอื่นๆ ก็คือ“ความฝัน” มิสซิสแฮรีสฝันที่จะได้บินไปปารีสเพื่อซื้อเสื้อผ้ายี่ห้อ“ดิออร์” ให้ได้ เธอจึงพยายามหาเงินทุกวิถีทาง เริ่มจากการประหยัดอดออม ทำงานพิเศษ จนกระทั่งเสี่ยงโชคก็ทำมาแล้ว
สามปีผ่านไป มิสซิสแฮรีสก็สามารถบินเดี่ยวไปปารีสเพื่อซื้อชุดดิออร์ในฝันได้สำเร็จ แต่แล้วเพียงคืนแรกที่เธอกลับถึงลอนดอนนายจ้างสาวก็ต่อว่ามิสซิสแฮรีสเป็นการใหญ่ พร้อมกับระบายความกลุ้มใจที่ตัวเธอเองไม่มีชุดราตรีใส่ไปงานในคืนนี้ให้ฟัง ด้วยความมีน้ำใจ มิสซิสแฮรีสจึงยินดีให้นายจ้างยืมชุดดิออร์ทันที โดยไม่คาดคิดมาก่อนว่าไม่กี่ชั่วโมงต่อมาชุดดิออร์ที่สวยหรูของเธอจะแปรสภาพเป็นชุดที่เต็มไปด้วยรอยไหม้
ความผิดครั้งนี้แม้จะไม่มีคำขอโทษและค่าชดเชยใดๆ จากนายจ้างสาว หรือหากจะกล่าวย้อนถึงความสัมพันธ์ที่ผ่านมาก็จะพบว่านายจ้างไม่เคยทำดีกับเธอเลยสักนิด แต่มิสซิสแฮรีสก็ไม่ถือโกรธ แถมยังพยายามคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเธอเองที่เป็นฝ่ายให้นายจ้างยืมชุดดิออร์ไปมิสซิสแฮรีสจึงถือว่าเป็นผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่มากๆ ในความรู้สึกของหมวย
นอกจากเรื่องความใจกว้างและการให้อภัยแล้ว หนังสือเล่มนี้ยังเป็นแรงบันดาลใจสำคัญของหมวยในเรื่องที่ว่า “ทุกคนมีสิทธิ์จะฝันอย่าคิดว่าฝันนั้นไร้สาระ เป็นไปไม่ได้ ขอให้เชื่อมั่นว่าทุกสิ่งเป็นไปได้และจงพยายามทำให้ดีที่สุด…ไม่ว่าฝันอะไรก็เป็นจริงได้ทั้งนั้น”
คลิกเลข 2 ด้านล่างเพื่ออ่านหน้าถัดไป
เปิดโลกให้กว้างไกลด้วยการเดินทาง
การทำงานในวงการสื่อสารมวลชนนั้นต้องตื่นตัวอยู่ตลอด ทำให้หมวยไม่ค่อยมีโอกาสได้ลาหยุดยาวๆ บวกกับความเกรงใจเพื่อนร่วมงาน กว่าหมวยจะได้หยุดจริงๆ เลยกลายเป็นว่าสิบปีผ่านไปแล้ว แต่ก็เคยได้หยุดจุใจถึง 19 วัน เวลา 19 วัน หมดไปกับการท่องเที่ยวยุโรปเป็นครั้งแรกในชีวิตหมวยได้ประสบการณ์ใหม่ๆ มากมายจากทริปนี้ ทั้งหลงทาง ต่อรถผิดนั่งรถเลยป้าย แปลสัญลักษณ์ของบางประเทศไม่ได้ ฯลฯ สนุกจริงๆ
ยิ่งได้ไปชมสถานที่สำคัญอย่าง สนามกีฬาโคลอสเซียม ประเทศอิตาลี สะพานและท่อส่งน้ำขนาดใหญ่ยักษ์ชื่อปงต์ดูการด์ (Pont du Gard) ที่ประเทศฝรั่งเศส ก็ยิ่งทำให้หมวยได้คิดอะไรหลายอย่างเช่น คนโบราณมักคิดสร้างอะไรใหญ่ๆ ที่ต้องใช้กำลังคน เวลา และความอดทน (อย่างมาก) กว่าจะสำเร็จ ตรงข้ามกับคนสมัยนี้ที่ชอบทำอะไรให้เล็กลงไปเรื่อยๆ เน้นให้เร็วและง่ายเข้าไว้ เพราะไม่ชอบการรอคอยอะไรนานๆ
การเดินทางนอกจากจะทำให้เราเห็นโลกในมุมที่เราไม่เคยเห็นและได้แง่คิดอะไรหลายๆ อย่างแล้ว แต่สุดท้ายหมวยก็ยังรู้สึกว่า “ไม่มีที่ไหนจะอบอุ่นและเป็นเหมือนบ้านได้อย่างเมืองไทยของเราเลย”