มะเร็ง หยุดได้
เมื่อป่วยเป็น มะเร็ง ทำให้มีโอกาสเห็นว่า ชีวิตที่ผ่านมานั้นไม่ถูกต้องหลายอย่าง
อันดับแรก คือ การกิน เมื่อก่อนเราไม่เคยรู้สึกหิว ที่ต้องกินเพราะรู้สึกว่าหมดพลังงานแล้ว ซึ่งก็กินอะไรก็ได้ เมื่อไรก็ได้ (ส่วนใหญ่เป็นของหวานและขนม) ไม่ได้สนใจจะกินให้ได้สารอาหารครบถ้วนอะไร เพราะใจจดจ่ออยู่กับกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งงานตรงหน้า ก็มันสนุกท้าทายนี่นา การนั่งกินเป็นเรื่องเสียเวลาสำหรับเรา พอหลังจากป่วยและเริ่มกินอาหารชีวจิตร้อยเปอร์เซ็นต์ ระบบการทำงานต่างๆ ในร่างกายก็เปลี่ยน
เริ่มจาก เริ่มรู้สึกหิว (อันดับแรก.1) ซึ่งนั่นเป็นผลมาจากสมองส่วนฮิปโปไธลามัสทำงานเป็นปกติ จากการที่ได้สารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างครบถ้วนนั่นเอง นอกจากนี้แล้ว ยังกินอาหารได้เยอะขึ้นมาก (อันดับแรก.2) จึงรู้สึกอร่อยกับอาหารสุขภาพที่กินเข้าไปในช่วงเวลานั้น ราวกับว่าระบบย่อยอาหารและเผาผลาญพลังงานได้เกิดใหม่
อันดับต่อมา คือ ความกังวลที่จะทำอะไรต่างๆ ไม่ได้ดังความคาดหวัง (คาดหวังว่าตนเองจะสามารถทำตามความคาดหวังคนอื่นได้) ซึ่งก็ก่อความเครียดให้ร่างกายโดยไม่รู้ตัว ถ้าใครเคยไปคอร์สชีวจิต อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิตจะสอนการ Relaxation ซึ่งเป็นการผ่อนคลายร่างกาย ที่หากไม่ทำ สิ่งเหล่านี้จะสะสมเป็นท็อกซิน หรือพิษ เริ่มจากอย่างเบาะๆ ก็ก่อโรคออฟฟิศซินโดรม ได้แก่ อาการปวดหัว หลัง บ่า ไหล่เรื้อรัง โรคไฮโปไกลซีเมีย หรือภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ได้แก่อาการเหนื่อย เพลีย หมดกำลัง ซึมเศร้า และอย่างรุนแรง พิษที่ว่าอาจทำให้เซลล์กลายพันธุ์และป่วยเป็นโรคมะเร็งได้
คลิกเลข 2 เพื่ออ่านหน้าถัดไป
ฉะนั้น การที่ต้องอยู่กับลมหายใจ หรือแผ่เมตตาให้ตัวเองวันละนับสิบรอบ ก็ช่วยทำให้จิตอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งก็ช่วยคลายความกังวลดังกล่าวโดยอัตโนมัติ จากนั้นยังค้นพบความจริงใหม่อีกด้วยว่า ยิ่งจิตผุดผ่อง ปราศจากอารมณ์หรือความรู้สึกรบกวนเท่าไร ยิ่งทำให้ผลงานออกมาดี และใช้เวลาน้อยลง
เท่ากับว่า ความเจ็บป่วยครั้งนี้ ทำให้เราทำงานได้มากขึ้น
อีกเรื่องหนึ่ง คือ การจดจ่ออยู่กับลมหายใจวันละหลายๆ ครั้ง หรือแทบจะตลอดทั้งวัน เพื่อกำจัดความคิดด้านลบทั้งหมดออกไป ทำให้เราได้สื่อสารกับจิตในส่วนลึกของตนเองได้ จึงทำให้เราเห็นรายละเอียดของอารมณ์ความรู้สึกบางอย่าง ที่ช่วยให้สามารถแยกเรื่องเล็กๆ ออกจากกันได้ (อีกเรื่องหนึ่ง.1) ทำให้จัดการแก้ปัญหาทั้งในงานและชีวิตประจำวันได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ ยังช่วยให้เราค้นพบตัวเอง อนาคต และหนทางเดินไปสู่เป้าหมายชัดเจนขึ้น (อีกเรื่องหนึ่ง.2)
เหล่านี้…บางคนอาจอธิบายด้วยเรื่องจิต เจตสิก ฌานกรรมฐาน ปัญญาเห็นธรรม แต่เราจะขออธิบายด้วยเรื่อง neuroscience วิทยาศาสตร์ด้านสมอง (ซึ่งเพิ่งมีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลายในทศวรรษนี้นี่เอง) สั้นๆ ง่ายๆ ตอนนี้คือ เมื่อสมองได้อาหารที่ดีต่อระบบการทำงานทุกส่วนของสมอง ประกอบกับปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและวิธีคิดให้เข้าที่เข้าทาง สมองส่วนที่ควรจะแอ็กทีฟ ก็แอ็กทีฟ ส่วนที่ควรจะลดการทำงานลงบ้าง ก็ลดลง พุทธปัญญาก็ปรากฏขึ้นได้
พระพุทธเจ้าค้นพบมาหลายพันปี แต่นักวิทยาศาสตร์เพิ่งพบในสิบปีนี้ น่าสนใจนะคะ แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง หลังจากเล่าเรื่องป่วยจบก่อนค่ะ (หรือใครมีนิตยสารชีวจิตฉบับ 16 กุมภา 2560 ปกลิเดีย ก็อ่านก่อนให้คุ้นๆ ก็ได้ค่ะ)
พบกันใหม่ วันพฤหัสหน้า เวลาเดิมจร้า
เขียนโดย : เอื้อมพร แสงสุวรรณ