“ติดปีก” จากชีวิตติดลบ พันตรี สมพงษ์ สุขสงวน แห่งสายการบินกานต์แอร์
ความยากลำบากในชีวิตสอนให้มนุษย์รู้จักความอดทน บากบั่นหากต่อสู้อย่างไม่ย่อท้อ อุปสรรคใดๆ ก็ไม่อาจกั้นขวางความสำเร็จ เช่นเดียวกับพันตรี สมพงษ์ สุขสงวน หรือคุณพงษ์ อดีตเด็กชนบทจากแดนใต้ที่กลายมาเป็นเจ้าของธุรกิจในเครือ “กานต์นิธิ” บริษัทบริหารสินทรัพย์ โรงแรม รถเช่า และ “สายการบินกานต์แอร์” ซึ่งนอกจากให้บริการเที่ยวบินภายในประเทศแล้ว ยังเป็นสายการบินหนึ่งเดียวของไทยที่อาสาบินรับส่งผู้ป่วย เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ และน้ำนมแม่สู่ลูกโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เขาบอกว่าทุกความตั้งใจเหล่านี้กลั่นกรองมาจากประสบการณ์ที่ผ่านมา
ทราบมาว่าคุณพงษ์ต้องทำงานหนักตั้งแต่ยังเด็ก ชีวิตในตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้างคะ
ผมเป็นคนจังหวัดพัทลุง เป็นพี่คนโตของน้องอีกสามคน ครอบครัวเราทำสวนยางปลูกข้าวตอนเย็น เลิกเรียนก็จูงวัวเดินไปตามคันนา กลางคืนก็ออกไปดักปลาตามทุ่งเข้านอนสี่ห้าทุ่ม ชีวิตวนอยู่อย่างนี้ แต่ก็สนุกไปตามประสาเด็กบ้านนอก
ช่วงหนึ่งพ่อมีปัญหากับปู่ ถึงขั้นตัดสินใจย้ายออกจากบ้านมาอาศัยยุ้งข้าวเล็ก ๆ เนื้อที่ราว 4 × 8 เมตร เป็นที่นอน ไม่มีครัว ต้องเอาก้อนหินมาวางทำเป็นเตาเพื่อหุงข้าวและทำกับข้าว ผมช่วยพ่อแม่ทำงานบ้านทุกอย่างรวมทั้งช่วยเลี้ยงน้องด้วย
จำได้ว่าครั้งหนึ่งพ่อเตรียมปลูกมะนาวในที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์แต่เป็นป่าเสื่อมโทรมพ่อ ผม และน้องชายต้องไปขุดดินถางป่าเป็น 10 ไร่ โดยมีแค่จอบคนละเล่ม เพราะตอนนั้นไม่มีเครื่องจักรหรือเครื่องมืออื่นเลยกว่าจะถางป่าได้แต่ละไร่ต้องใช้เวลานานมากบางครั้งหิวน้ำอยู่กลางทุ่ง แดดก็ร้อน น้ำสะอาดก็ไม่มีดื่ม ต้องไปวักน้ำที่ขังอยู่ในปลักควายมากิน
เคยคิดน้อยเนื้อต่ำใจไหมคะว่า ทำไมชีวิตต้องลำบากขนาดนี้
ผมรู้สึกนะว่าลำบาก แต่ก็สู้เพราะเข้าใจว่าชีวิตคนต่างจังหวัดก็ต้องลำบากแบบนี้ กว่าจะได้เรียนหนังสือก็อายุ 7 ขวบแล้ว ได้เรียนภาษาอังกฤษตอน ป.5 ทีวีก็ไม่มี อย่างเก่งก็ได้ฟังวิทยุ ผมเดินเท้าไปโรงเรียนจนจบ ป.6จนขึ้น ม.1 ถึงมีรถจักรยานขี่ไปโรงเรียน
ทุกวันต้องห่อข้าวใส่ใบตอง บ้างใส่ปิ่นโต บ้างกินที่โรงเรียน กับข้าวก็เป็นอาหารทำง่าย ๆ เช่น ไข่เจียวปลาเค็ม คนที่พ่อแม่มีสตางค์ก็ไม่เอาข้าวไปกินเพราะอาย อยากกินอะไรก็ซื้อกินที่โรงเรียน แต่เพื่อนกลุ่มที่กินข้าวเที่ยงด้วยกันไม่อายกัน บางคนบ้านมีตู้เย็นก็เอาน้ำหวานใส่ถุงแช่ช่องแข็งแล้วเอามาขาย ทุกวันนี้เพื่อนในกลุ่มนี้ได้ดีประสบความสำเร็จกันหมดแล้ว
ที่ลำบากมากคือเรื่องการเดินทางตอนนั้นบ้านผมอยู่ในเขตอำเภอป่าพะยอมรถยังเข้าไม่ถึง มีแต่ทางสำหรับช้างลากไม้ช่วงหน้าฝนไหล่ทางเต็มไปด้วยน้ำ หากเดินไม่ระวังถูกไม้แทง ก็ต้องปล่อยให้หายเองจำได้ว่าเคยบาดเจ็บที่หลังเท้า รองเท้าก็ไม่มีแผลจึงเปื้อนดินเปื้อนโคลนตลอด กว่าจะหายนานเป็นเดือน และยังเป็นแผลเป็นจนถึงวันนี้เจ็บอย่างไรก็ต้องปล่อยให้หายเองตามธรรมชาติเพราะการเดินทางไปไหนมาไหนลำบากมากเรื่องยาเรื่องหมอจึงเป็นเรื่องไกลตัวมาก
ด้วยเหตุนี้ใช่ไหมคะจึงต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
ตอนนั้นผมเรียนอยู่ชั้น ป.6 น้องสาวคนรองป่วยเป็นไข้เลือดออก พ่อเห็นอาการแย่มากเลยพาส่งโรงพยาบาล แต่ต้องแบกน้องเดินไปประมาณ 3 กิโลเมตร ไปรอรถโดยสารที่ถนนใหญ่ ส่วนโรงพยาบาลอยู่ไกลไปอีกประมาณ 30 กิโลเมตร ผมยังจำได้ดีพ่อแบกน้องไปตอนกลางวัน กลับมาถึงบ้านกลางดึก แต่น้องเสียชีวิตแล้ว
ช่วงนั้นเรายังอาศัยอยู่ในยุ้งข้าว แต่พ่อกับแม่เริ่มสร้างบ้านซึ่งยังมีแค่เสา น้องชายคนสุดท้องก็ยังตัวเล็ก ๆ ตอนนั้นผมเริ่มรู้สึกว่าชีวิตมันแย่ ต้องย้ายบ้านแล้วยังมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก แล้วไม่มีใครสนใจครอบครัวผมเลยน้องสาวเสีย ปู่ก็แทบไม่มางานศพเลย จนลุงต้องไปขอร้องให้มาเพราะสงสารพ่อ
ด้วยความเป็นเด็ก แม้จะคิดว่าทำไมชีวิตต้องโดนขนาดนี้ แต่ใจก็สู้ พยายามทำหน้าที่ตัวเองให้ดี ไปเรียนหนังสือช่วยพ่อแม่ทำงานพอเรียนจบ ม.3 ก็ไปอยู่กับน้าและเรียนต่อชั้นมัธยมปลายที่ปัตตานี ผมช่วยเขาทำนาเกี่ยวข้าวช่วยทำงานทุกอย่าง ระหว่างเรียนชั้นมัธยมปลายก็ต่อยมวยไปด้วย แต่ทำได้พักเดียว เพราะแม่ห้าม แม่คงไม่อยากให้ผมเจ็บตัว
ตั้งใจไว้ก่อนไหมคะว่าอยากประกอบอาชีพอะไร
จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เห็นทหารเดินผ่านแถวบ้านที่พัทลุง ช่วงนั้นมีความขัดแย้งทางการเมือง ทหารต้องต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่อยู่ในป่า ผมเห็นภาพนั้นติดตา โตขึ้นจึงอยากเป็นทหาร บังเอิญมีน้าชายเป็นทหารเกณฑ์ ยิ่งทำให้เราอยากเป็นทหาร
หลังจากเรียนจบ ม.6 ผมเป็นครูสอนเด็กอนุบาลและประถม จนอายุ 21 ปี ถึงเวลาต้องไปเกณฑ์ทหาร ผมตัดสินใจสมัครเลย ไม่ต้องจับใบดำใบแดง
ช่วงที่เป็นทหารได้อะไรเยอะ ต้องฝึกหนักมาก ผมเป็นทหารบก เหล่าทหารม้าตากแดดฝึกทหารจนหนังหัวลอก แต่ก็ภูมิใจมากที่ผ่านมาได้ ทำให้เรามีวินัยและอดทนเป็นการฝึกที่มีประโยชน์มาก พูดตรง ๆ ว่าถ้าผมไม่ได้เป็นทหาร ผมคงเป็นอย่างทุกวันนี้ไม่ได้ เพราะสิ่งสำคัญของทหารคือ วินัยและความอดทนที่สามารถต่อยอด และนำมาใช้กับชีวิตตัวเองได้
หลังปลดทหารผมมาเรียนต่อที่คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ตอนเข้ากรุงเทพฯมีเงินไม่กี่ร้อยบาท ซื้อตั๋วรถไฟชั้น 3เข้ากรุงเทพฯกับซื้อหนังสือพิมพ์หนึ่งฉบับอ่านเสร็จก็ปูนอนใต้ที่นั่งเก้าอี้บนรถไฟ มาถึงกรุงเทพฯก็สมัครเรียนรามฯและทำงานดูแลอพาร์ตเมนต์แถวลาดพร้าว คอยรับโทรศัพท์ดูคนเข้าออก เช็กน้ำไฟ คอยจัดการให้เขาทุกอย่าง
ผมทำงานจนเจ้าของไว้ใจให้ไปดูแลงานก่อสร้างอพาร์ตเมนต์ที่สร้างใหม่แถวหลักสี่ผมนั่งสองแถวไปดูแลให้เขาทุกวัน ช่วยดูตั้งแต่ตอกเสาเข็มทั้งที่ผมไม่มีความรู้เรื่องการก่อสร้างเลย แต่ตากแดดตากฝนมาดูงานจนสร้างเสร็จทำให้ผมมีความรู้ด้านการก่อสร้าง และรู้สึกภูมิใจที่เราขยันจนเขาไว้ใจให้โอกาสได้เรียนรู้
เริ่มต้นทำธุรกิจส่วนตัวได้อย่างไรคะ
ผมทำงานจนเริ่มไม่มั่นใจว่าจะเรียนจบจึงสมัครสอบนักเรียนนายสิบทหารบกระหว่างนั้นอพาร์ตเมนต์ที่ผมทำงานว่าง 2ห้อง จึงขอเช่าเพื่อเปิดโต๊ะสนุกเกอร์และรับซักรีดเสื้อผ้า แม่ก็ยอมขายที่ให้แปลงหนึ่งเพื่อนำมาเป็นเงินลงทุน ปรากฏว่าไม่ประสบความสำเร็จ ทำให้ผมรู้สึกว่าเป็นคนสร้างปัญหาให้ที่บ้าน จึงตั้งใจเลยว่าถ้าชีวิตนี้ไม่ประสบความสำเร็จจะไม่กลับบ้าน
พอสอบเข้าทหารได้ ผมทำเรื่องขออนุญาตนายไปสมัครเรียนไปเรียนต่อปริญญาตรีภาคค่ำที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม เพราะใกล้กับอพาร์ตเมนต์ ระหว่างเรียนผมทำงานเป็นการ์ดในคาเฟ่แถวสีลมกับเพื่อน กลับจากคาเฟ่ประมาณตีสองมาต่อรถเมล์ที่อนุสาวรีย์เพลียจนหลับเลยที่พักบ่อย ๆ เพราะเหนื่อยมาก ตอนนั้นยังไม่มีเงินซื้อมอเตอร์ไซค์ ผมทำอย่างนี้จนเรียนจบนิติศาสตร์ในเวลา 3 ปี
หลังจากนั้นผมก็หางานพิเศษทำนอกเวลาราชการ โดยไปสมัครขายประกันภัยรถยนต์ลงทุนเปิดบู๊ธที่โลตัสมหาชัยกับโลตัสหาดใหญ่แต่ก็ขาดทุนอีกจึงเลิกทำ พอดีมีเพื่อนชวนผมไปทำงานทวงหนี้ให้บริษัทไฟแนนซ์รถยนต์ตอนนั้นเป็นทหารยศสิบเอก อาศัยเวลาเสาร์ - อาทิตย์ไปทำงานตามทวงหนี้และยึดรถคืนปรากฏว่าบางสาขาที่เคยมีหนี้เสียเยอะก็ดีขึ้น
ผมทำงานมาเรื่อย ๆ เวลานั้นถ้าใครค้างค่าผ่อนรถ 4 เดือน บริษัทให้ไปยึดรถเขาเลย ผมมาคิดว่าถ้าคนนั้นเป็นญาติพี่น้องหรือพ่อแม่เราล่ะ จึงไปคุยกับไฟแนนซ์ ขอเป็นคนกลางเจรจาก่อน อย่าเพิ่งรีบยึดรถเลยผมนั่งกดโทรศัพท์หาลูกค้า ขอเจรจา ปรากฏว่าประสบความสำเร็จ รถถูกยึดน้อยลงบริษัทก็ได้เงินมากขึ้น ต่อมาผมจึงตัดสินใจหารายได้เสริมด้วยการเปิดบริษัทรับบริหารหนี้ให้ไฟแนนซ์ จดทะเบียนเมื่อปี พ.ศ. 2548
ตอนนั้นผมก็ไม่มีเงินทุน ไปคุยกับใครก็ไม่มีคนหุ้นด้วย จึงขายรถเพื่อเปิดบริษัทเช่าห้องแค่ 26 ตารางเมตรเป็นสำนักงาน รูดบัตรเครดิตซื้อโต๊ะเก้าอี้ คอมพิวเตอร์ แล้วนั่งทำงานวันหยุด ผมทำทุกอย่าง ตั้งแต่เป็นเมสเซนเจอร์ไปจนถึงเจรจาประนอมหนี้ ต่อมาเมื่อธุรกิจดีขึ้นก็มีพนักงานมาช่วย ปี พ.ศ.2550 ผมแต่งงานกับภรรยา (คุณสายชลสิบมอง) และช่วยกันทำงานเรื่อยมา
จากวันที่ผมไม่มีอะไรเลย เริ่มมีพนักงานไม่กี่คน ปัจจุบันบริษัทกานต์นิธิ จำกัด มีพนักงานราว 500 คน บริหารหนี้และรับว่าความธุรกิจเช่าซื้อให้กับไฟแนนซ์อีก 20 บริษัทโดยมีภรรยาผมเป็นผู้ดูแลหลัก พนักงาน 5คนแรกที่เข้ามาก็คือหัวหน้าที่คอยช่วยผมบริหารงานในปัจจุบัน ซึ่งสร้างรายได้ให้บริษัทปีละ 20 - 30 ล้านบาท ผมจึงใช้เงินทุนจากธุรกิจนี้เป็นจุดเริ่มต้นในการเปิดธุรกิจอื่น ๆ
ทำไมจึงหันมาขยายธุรกิจด้านการบินคะ
เป็นภาพความทรงจำในตอนเด็กอีกเหมือนกัน ผมเห็นเครื่องบินผ่านไป ก็แอบคิดว่าข้างบนนั้นจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนั้นมันเป็นเรื่องไกลตัวมาก ไม่คิดว่าจะมีโอกาสจนเมื่อหลายปีก่อน ผมเห็นเครื่องบินฝึกของกองทัพอากาศบินผ่านและมีโอกาสได้คุยกับครูฝึกบิน จึงขอสมัครเรียนการบินโดยใช้ทุนส่วนตัวสองแสนกว่าบาท เรียนจนจบหลักสูตรนักบินส่วนบุคคล PPL (Private Pilot License)
พอเรียนจบผมก็คิดว่าน่าจะต่อยอดธุรกิจได้ และเห็นว่าประเทศไทยยังมีช่องว่างด้านการบิน จึงเปิดบริษัทและขออนุญาตเพื่อประกอบการบินเพื่อการค้า ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับสายการบินหนึ่งหยุดบินเชียงใหม่ -แม่ฮ่องสอน เวลานั้นผมคิดถึงตอนที่น้องสาวป่วยเสียชีวิตเพราะเดินทางลำบาก เส้นทางจากแม่ฮ่องสอนไปเชียงใหม่ก็เหมือนกัน ใช้เวลาถึง 5 ชั่วโมง จึงมองว่าเราน่าจะช่วยคนอื่นได้ อย่างน้อยถ้าเจ็บป่วยเขาก็ไม่ต้องสูญเสียคนในครอบครัว
จึงเป็นที่มาว่าระหว่างให้บริการบินในทุกเส้นทาง เราจะรับส่งเวชภัณฑ์ทางการแพทย์และนมแม่ (แช่แข็ง) ให้ลูกฟรีทุกเส้นทางสำหรับผู้ป่วยผมให้นั่งฟรีเที่ยวละ 2 ที่นั่งหลายคนบินกับเราเพราะเป็นมะเร็งต้องมารักษาตัวที่เชียงใหม่ ไม่ต้องทรมานนั่งรถพยาบาลทางไกล บางคนเป็นหมอต้องมาประชุมที่เชียงใหม่ บางคนเป็นนายอำเภออยู่ไกล ๆ ผมก็ให้บินฟรี เพราะมองว่าเขาเป็นผู้เสียสละมาอยู่ในที่ลำบาก ทุรกันดารเงินเดือนก็ไม่ได้เยอะแต่ต้องมาเดินทางด้วยเครื่องบินไป - กลับอีก ผมไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว ไม่เคยหวังผลประโยชน์ แต่อยากช่วย
ในกรณีฉุกเฉินหรือมีผู้ป่วยขั้นวิกฤติมีการช่วยเหลืออย่างไรบ้างคะ
ในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินเรามีไพรเวตเจ็ตไปรับ มีทั้งแบบฟรีและญาติผู้ป่วยเสียค่าใช้จ่ายแล้วแต่กรณี มีรายหนึ่งเส้นเลือดในสมองแตกต้องถึงมือหมอในไม่กี่ชั่วโมง เราก็บินไปรับจนช่วยชีวิตเขาไว้ได้ ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นใครตอนหลังเขาส่งน้ำผึ้งป่ามาให้ มันมีค่าทางจิตใจมาก เพราะเขานึกถึงความช่วยเหลือของเรา
มีเคสหนึ่งเป็นเด็กสาวอายุ 25 ปีอยู่ที่อำเภอปาย ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ มีคนโทรศัพท์มาหาลูกน้องผมที่เชียงใหม่ ลูกน้องก็ทำเรื่องไปกรมการบินเพื่อขออนุญาตบินแต่ทางกรมแจ้งว่าต้องขออนุญาตก่อน 3 วันแต่น้องคนนี้ขั้นโคม่าต้องรีบไปโรงพยาบาลด่วน ผมจึงโทร.ไปเอง แล้วบอกเขาว่า เคสของผู้ป่วยนี้จำเป็น ให้คิดดูว่าถ้าเขาเป็นญาติคุณ คุณจะรอให้ถึง 3 วันหรือจะบินเลยเจ้าหน้าที่จึงอนุญาตให้บินได้
ภายหลังผมได้รับแจ้งว่าผู้ป่วยเสียชีวิตแล้วหลังจากถึงเชียงใหม่ 3 ชั่วโมง ผมให้ลูกน้องส่งพวงหรีดไปร่วมงานศพด้วยหลังจากนั้นเจ้าของรีสอร์ตที่ปายก็ติดต่อมาเพื่อขอบคุณ เพราะน้องคนนี้ทำงานที่นั่นหากผมไปปายให้ไปพักกับเขาได้เลย น้องสาวของผู้เสียชีวิตอยู่เชียงรายก็โทร.มาบอกว่าขอบคุณมากที่ทำให้ความฝันของพี่สาวเป็นจริงเพราะเคยบอกไว้ว่าอยากนั่งเครื่องบินสักครั้งในชีวิต
คำขอบคุณที่เราได้ยินทำให้ผมรู้สึกตื้นตันอยู่ในใจ คนที่ไม่ได้มีประสบการณ์แบบผมไม่รู้หรอกว่าทำไมผมต้องทำอย่างนี้แต่ละเหตุการณ์ที่เจอทำให้รู้ว่าเราเลิกไม่ได้ต้องช่วยคนต่อไปเท่าที่เราจะช่วยได้
นอกเหนือจากงานอาสา ได้นำแนวคิดในการช่วยเหลือผู้อื่นมาปรับใช้ในธุรกิจอย่างไรบ้างคะ
ขอยกตัวอย่างเช่น การขึ้นเครื่อง โดยทั่วไปหากสายการบินดีเลย์ก็มีแต่ขอโทษ อาจมีเครื่องดื่มมีอาหารตามเวลาที่กฎกำหนด แต่กลับกัน สมมุติว่าผู้โดยสารมาช้าแค่สิบนาทีก็เท่ากับตกเครื่องเลย แล้วยังต้องซื้อตั๋วใหม่เองอีก แต่ของผมถ้าใครขึ้นเครื่องไม่ทันให้เก็บตั๋วนี้ไว้ ไม่ต้องซื้อใหม่ ให้บินได้ในเที่ยวถัดไป
ผมชอบความเป็นธรรมไม่เอาเปรียบใครไม่มีบวกเพิ่มเติมจุกจิก ค่าตั๋วสองพันก็คือสองพัน สมมุติว่าผู้โดยสารเป็นเด็กต่างจังหวัดจำเป็นต้องเดินทาง อาจมีใครเจ็บป่วยต้องกลับบ้านด่วน แต่มีเงินแค่ 2,000 บาท แต่พอมาถึงต้องเสียอย่างอื่นเพิ่ม เขาจะเอาเงินที่ไหนมาจ่าย อย่าคิดว่าคนนั่งเครื่องบินต้องรวยทุกคน
ส่วนธุรกิจรถเช่าเกิดขึ้นได้เพราะผมเคยไปเช่ารถเจ้าหนึ่ง เขาล็อกวงเงินในบัตรเครดิตผมทั้งหมด ไม่ได้ล็อกแค่ค่าเช่า พอบัตรโดนล็อกก็เอาไปใช้อย่างอื่นไม่ได้เลย จึงคิดว่าถ้ามีโอกาสทำธุรกิจรถเช่า ผมจะหักวงเงินบัตรแค่ค่าเช่า เอาบทเรียนที่ตัวเองเคยเจอมาใช้
ส่วนธุรกิจการบินผมขยายเส้นทางใหม่ ๆ ที่ไม่ค่อยมีใครบิน เช่น เชียงใหม่ - อุบลราชธานี เพราะคิดว่าคนจากอุบลฯมาเชียงใหม่ต้องมากรุงเทพฯก่อนถึงค่อยบินไปเชียงใหม่ เท่ากับเสียค่าตั๋ว 2 ต่อ ถ้าบินตรงก็ประหยัดทั้งเงิน ทั้งเวลาเท่าตัว เส้นทางนี้ผมเปิดบริการมา 2 ปีแล้ว ประสบความสำเร็จมาก ช่วงไหนต้องหยุดบินเพราะส่งเครื่องไปซ่อมบำรุงที่สิงคโปร์ ผู้โดยสารก็จะพูดถึงกันเยอะว่าเขาเดือดร้อน
ผมเป็นสายการบินขนาดเล็ก ไม่ได้หวังแข่งขันกับสายการบินใหญ่ คิดแค่ว่าเราอยากมีส่วนช่วยให้คนท้องถิ่นได้เดินทางสะดวกเป้าหมายเราคือเอื้อประโยชน์ให้ผู้อื่นเป็นหลัก
ผมชอบความยุติธรรม ไม่ชอบโดนเอาเปรียบ ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองต้องได้อะไรกลับมา ถ้าทำอะไรเพื่อส่วนรวมได้เป็นเรื่องที่ดีผู้ที่ได้รับประโยชน์ไม่จำเป็นต้องรู้จักผมเพราะชีวิตนี้ผมไม่เคยอยากเล่นการเมืองผมพูดกับคนรอบตัวเสมอว่าผมอยากช่วยคนโดยที่ไม่หวังผลอะไร
มีคำกล่าวว่า “ผู้ให้ความสุขย่อมได้รับความสุข” สำหรับคุณพงษ์ความสุขนั้นคืออะไรคะ
ความสุขที่ได้รับทันทีเลยคือความสบายใจ ความสุขส่วนอื่น ๆ ผมคิดว่าธุรกิจการบินเป็นที่ยอมรับในการบริการของเราก่อนนี้ผมไม่คิดว่าจะได้รับสิ่งตอบแทนจากสิ่งที่ทำลงไป แต่วันนี้ผมคิดว่าสิ่งที่ทำได้ย้อนกลับมาที่ตัวผมเอง ทำให้เรามีจิตใจที่เข้มแข็งอยากทำสิ่งใหญ่ ๆ เพื่อคนอื่นได้มากกว่านี้
ผมคิดไปถึงการตั้งมูลนิธิช่วยเหลือเด็กจรจัดและเด็กที่ถูกทอดทิ้ง ส่งเสริมให้เขาเรียนและได้มีอาชีพที่ดี เราอยู่ในธุรกิจการบิน รู้ว่ากัปตันเป็นอาชีพที่มีรายได้สูงมาก หากพวกเขามีโอกาสได้เรียน หรือถ้ามีความฝันอยากเป็นนักบิน อยากเป็นหมอก็ได้ ไม่บังคับว่าต้องมาเป็นลูกน้องผมเท่านั้น แต่สิ่งที่อยากขอก็คือเมื่อทำงานแล้วขอ 10 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนปันมาให้มูลนิธิเพื่อเป็นทุนการศึกษา ให้น้องรุ่นต่อไป ให้พี่ช่วยเลี้ยงน้อง แล้วมูลนิธิจะเป็นครอบครัวที่ยิ่งใหญ่ในอนาคตต่อไปเด็กเร่ร่อนที่เคยเป็นปัญหาสังคมก็จะเป็นคนที่กลับมาช่วยเหลือสังคม หรืออย่างน้อยก็ช่วยลดปัญหาเด็กและเยาวชนได้
รู้สึกอย่างไรบ้างคะเมื่อมองย้อนกลับไปในวันที่เคยเดินเท้าเปล่าแหงนมองเครื่องบิน แต่วันนี้ได้เป็นทุกอย่างอย่างที่คิด
ผมมองว่าหลายอย่างอยู่ที่ตัวเรากำหนดถ้าผมท้อ ผมหยุด ก็กินแค่เงินเดือนทหารตอนเย็นซื้อเหล้าไปกินกับเพื่อน เสาร์ - อาทิตย์กินเหล้าเฮฮามีความสุขตามประสาทหารที่มีเงินเดือนแค่พอใช้ ลูกก็เรียนไปตามสภาพพอถึงเวลาเกษียณอายุก็ไม่มีบ้านอยู่ เพราะที่ผ่านมาอยู่บ้านหลวง ถ้าเราทำตัวแบบนั้นชีวิตก็อาจอยู่แค่นั้น
ทุกวันนี้ยอมรับว่าเหนื่อยเพราะต้องรับผิดชอบเยอะ งานราชการทหารก็เป็นงานที่ผมรัก พนักงานเกือบพันคนก็ต้องช่วยครอบครัวก็ต้องดูแล ถ้าเราทำตัวปวกเปียกไม่ทุ่มเท คนก็จะเดือดร้อนกับเราอีกมากเพราะไม่ใช่แค่ชีวิตพนักงาน ยังมีครอบครัวของพวกเขาด้วย ถ้าเราเหนื่อย ท้อ อยากหยุดก็หยุด ขายธุรกิจทั้งหมดก็เป็นพันล้านแล้ว แต่ผมเลือกไม่ทำอย่างนั้น เพราะกลัวลูกน้องต้องไปอยู่กับคนอื่นที่ไม่รู้ว่าจะเหมือนเราหรือเปล่า
เราต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุด
ที่มา: นิตยสาร Secret
เรื่อง อุราณี ทับทอง ภาพ สรยุทธ พุ่มภักดี
Secret คือแรงบันดาลใจ
สั่งซื้อนิตยสารหรือสมัครสมาชิก Secret ได้ที่ 0-2423-9889
ทาง Naiin.com : https://www.naiin.com/magazines/title/SC/