บันทึกของวัยรุ่นนักกินหมู เนื้องอกในสมอง ยุบเพราะชีวจิต ตอนที่ 3 จบ
เนื้องอกในสมอง ยุบเพราะปฏิบัติตัวตามแนวทางชีวจิต
มกราคม 2543
การรู้ว่าตัวเองมีเนื้อส่วนเกินอยู่ในสมองทำให้ช่วงเวลาในโรงเรียนของฉันน่าสนใจขึ้นอย่างประหลาด เพราะได้รู้สาเหตุของความไม่เหมือนเดิมทั้งปวงแล้วนี่นา แถมฉันยังต้องพยายามทำสมองโล่งๆ ไม่คิดกังวลกับเรื่องอะไรมาก คงความร่าเริงไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เพื่อนๆ ก็ช่วยเล่าเรื่องสนุกๆ ให้ฟัง ดีเหมือนกันแฮะ เพราะแต่ไหนแต่ไรความเบิกบานของฉันคือเสน่ห์อย่างหนึ่งที่เพื่อนๆอยากคบอยากพูดคุยด้วย
ใครๆ เลยบอกว่าฉันไม่เหมือนคนไม่สบาย ดูไม่ทุกข์ร้อนอะไรเลย (ยังพูดเก่งเหมือนเดิม) ไม่รู้สิ ! ก็มีบางครั้งที่นึกอยู่เหมือนกันว่าทำไมเนื้องอกต้องเกิดขึ้นกับฉัน แต่เพียงประเดี๋ยว คำตอบกลับแทรก ปรู๊ดขึ้นมาว่าเป็นเพราะเวรกรรมที่แต่ละคนทำไว้ไม่เหมือนกัน…ก็คนที่บ้านเขาพูดอย่างนี้กันจนชินหู
ไม่ใช่จะปล่อยเลยตามเลย แต่ทุกข์ร้อนไปก็เท่านั้น ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็อย่าคิดว่ามันเป็นปัญหา เพราะไม่นานทางแก้ไข จะมาเอง เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น
ถ้าคิดว่าเนื้องอกมันเป็นปมปัญหา เราก็แก้ปมด้วยการไปหาหมอ ให้เขาช่วยรักษาสิ เหมือนฉันนี่ไง พรุ่งนี้เจ๊ตุ่มจะพาฉันไปโรงพยาบาลรัฐบาลใหญ่แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะหมอแนะว่าถ้าจะต้อง ผ่าตัดสมอง ที่นั่นดีที่สุด
ปลายเดือนมกราคม 2543
กว่าจะจองเตียงในโรงพยาบาล จองคิว หมอได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย แต่ก็สำเร็จในที่สุด ตกลงฉันจะได้ขึ้น เขียง วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ดูปฏิทินแล้วเป็นช่วงหนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบไฟนอล (ปลายภาค) ระยะนี้จึงวุ่นวายอยู่กับการทำเรื่องดร็อป (ลาพักการเรียน) เพื่อเตรียมการผ่าตัด
เห็นเพื่อนๆ ขะมักเขม้นดูหนังสือเตรียมสอบครั้งสุดท้ายก่อนจบหลักสูตรปริญญาตรีแล้วรู้สึกใจหาย ไม่รู้สิ ! ไม่ได้น้อยใจในชะตากรรมนะ ฉันมีเนื้องอกคนอื่นไม่มี เพราะงั้นคนอื่นก็สอบ แต่ฉันไปผ่าตัด ไม่เป็นไรหรอก
เจ๊ตุ่มกับเจ๊ติ๋วผลัดกันมาหาฉัน พอเจอหน้าทุกครั้ง ไม่วายปลอบฉันว่าไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น เพราะเดี๋ยวนี้วิทยาการทางการแพทย์ก้าวหน้า แถมยกตัวอย่างเพื่อน หรือเพื่อนของเพื่อน หรือเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนมากมาย ประมาณว่าเขาเป็นมากกว่า แต่เขาก็ยังรอด
ที่จริงฉันไม่ได้กลัวความตายหรอก หลับแล้วไม่ตื่นคงสบายดี แต่ฉันกลัวตื่นขึ้นมาเอ๋อ ประมาณว่าจำอะไรไม่ได้ เหมือนในหนังน่ะ จำอะไรไม่ได้แม้แต่ชื่อเสียงเรียงนามและคนในครอบครัวตัวเอง
ว้า ! ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงแย่ ไอ้ตัวฉันน่ะไม่เท่าไร แต่มันคงสร้างความทรมานให้คนที่อยู่ด้วยน่าดู
คนที่บ้านรู้ความกังวลส่วนตัวของฉัน เลยยิ่งกำชับนักกำชับหนาว่า พอผ่าตัดเสร็จตื่นขึ้นมาให้รีบกินทุกอย่างที่ขวางหน้าเลยนะ พยายามกินให้เยอะ จะได้ไม่ต้องให้อาหารทางสายยาง เขาว่าเป็นภาพที่ดูน่าสงสาร
…อืม…ถึงนาทีนี้คงไม่มีทางเลือกอะไร นอกจากลองทำใจกล้าๆ และคิดว่าเป็นไงเป็นกัน