หมอก้อง สรวิทย์ สุบุญ กับชีวิตที่มีความตายเป็นเพื่อนร่วมทาง
ดีกรีแพทยศาสตรบัณฑิตจากวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า และใบหน้าหล่อเหลาไม่แพ้นักร้องแดนกิมจิ ไม่ใช่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Secret ชักชวนชายหนุ่มคนนี้ หมอก้อง สรวิทย์ สุบุญ มาขึ้นปก แต่เรื่องราวชีวิตที่เพิ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งต่างหาก คือวีรกรรมที่ Secret สนใจ อยากค้นหาให้ลึกลงไปในหัวใจของผู้ชายคนนี้ว่า เพราะเหตุใดเขาจึงเข้มแข็งได้ในวันที่ใครๆ พากันเสียน้ำตา
ทราบมาว่าคุณหมอก้องเป็นหมอทหาร เพราะเหตุนี้หรือเปล่าจึงทำให้ดูเข้มแข็งกว่าคนปกติทั่วไป
ผมไม่ใช่คนเข้มแข็งครับ อาจดูเหมือนเข้มแข็งนะ แต่จริงๆ แล้ว ผมเป็นคนหวั่นไหวง่าย ยิ่งถ้าเป็นคนที่ผมเคารพรักด้วยแล้วบ่อน้ำตาแตกง่ายทุกที แต่ตอนเป็นเด็กผมไม่ใช่คนแบบนี้เลยนะ ผมกวนประสาทมาก คิดว่าตัวเองเจ๋งสุด ๆ ที่เป็นเด็กลพบุรี แต่สอบติดมัธยมปลายที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาในกรุงเทพฯ พอสอบได้ก็เรียนไปไม่ได้คิดอะไร ตอนขึ้น ม. 5 ไม่ชอบอาจารย์วิชาชีววิทยา เพราะท่านจู้จี้ขี้บ่น ผมก็เลยไม่ตั้งใจเรียน
เย็นวันหนึ่งอาจารย์ท่านนี้เรียกผมขึ้นไปพบที่ห้องพักครู ผมคิดว่าตัวเองต้องโดนด่าแน่ ๆ พอไปถึง ท่านกลับยิ้มอย่างมีเมตตาพร้อมบอกว่า “ลูกเป็นอย่างไรบ้าง เรื่องเรียนมีปัญหาอะไรไหม” ผมตอบไปว่า “ไม่มีครับ แค่ผมเกลียดวิชานี้” แต่จริง ๆ ในใจคิดว่า เพราะผมเกลียดอาจารย์ไง แล้วอาจารย์ก็พูดว่า “ครูชื่อสมญาติ สมแปลว่า เสมอ สมญาติก็แปลว่าเสมอญาติ ถ้าลูกมีปัญหาอะไร ลูกปรึกษาญาติคนนี้ได้เสมอนะ” ได้ยินแค่นี้ใจผมก็อ่อนยวบแล้ว ท่านถามต่อว่า “ลูกคิดว่าจะมีอายุอยู่ถึงเท่าไหร่” ผมตอบกวน ๆ ว่า “หกสิบก็ตายได้แล้วครับ” เพราะคิดว่าอาจารย์น่าจะใกล้หกสิบปีแล้ว ท่านยิ้มแล้วสอนว่า “แสดงว่าตอนนี้ลูกยังมีอายุอยู่ไม่ถึงครึ่งหนึ่งของชีวิตเลย ลูกอายุแค่สิบเจ็ดปี ยังมีชีวิตเหลืออีกตั้งสี่สิบกว่าปี ลูกจะใช้ชีวิตอย่างไร ประกอบอาชีพอะไร และมีสภาพทางสังคมอย่างไร ไม่ได้ขึ้นอยู่ที่สามปีนี้หรอกเหรอ ถ้าลูกตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด แล้วสอบเข้าคณะที่ชอบ ได้ทำงานที่อยากทำ เพื่อสร้างความมั่นคงให้ชีวิตที่ยังเหลืออยู่อีกตั้งสี่สิบกว่าปีจะไม่ดีกว่าหรือ” (น้ำตาเริ่มไหล)
ตอนนั้นผมบอกตัวเองว่า เออว่ะ! ทำไมกูโง่จัง ทำไมคิดไม่ได้ จากนั้นผมก็เปลี่ยนแปลงตัวเองใหม่ทั้งหมด หันมาตั้งใจเรียนทุกวิชา และคว้าเกรดสี่ชีววิทยาได้ในที่สุด ทุกวันนี้ผมยังรำลึกถึงบุญคุณของอาจารย์ สมญาติ โตสวัสด์ิ เสมอ ถ้าไม่ใช่เพราะท่าน ก็ไม่รู้ว่าตอนนี้ชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร
คำสอนไหนของพ่อแม่ที่ยังประทับใจจนทุกวันนี้คะ
พ่อแม่ผมท่านไม่ค่อยสอนเป็นคำพูดครับ ส่วนใหญ่จะทำให้ดูเป็นตัวอย่างมากกว่า แม่เป็นผู้หญิงเก่งที่ทำได้สารพัด เป็นทั้งพนักงานธนาคาร แม่บ้าน และเป็นแม่ของลูกตัวแสบทั้งสี่คนอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมจึงติดนิสัยชอบทำอะไรด้วยตัวเอง ไม่ค่อยขอความช่วยเหลือใคร ส่วนพ่อเป็นคนที่มีความอดทนสูงมาก และเป็นคนรักครอบครัวมากด้วย ไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร พ่อจะดูแลครอบครัวก่อนดูแลตัวเองเสมอ ผมคงได้เลือดพ่อมาเยอะ ทันทีที่ผมเรียนจบ ผมตัดสินใจกู้เงินซื้อบ้านเลย ไม่ได้คิดด้วยซ้ำว่าจะหาเงินที่ไหนมาจ่าย เพราะตอนนั้นเงินเดือนน้อยมาก แต่ยังไงก็ต้องซื้อบ้านให้ได้ เพราะผมฝันอยากให้ครอบครัวมีบ้านเป็นของเราเองมาตลอดชีวิต ปกติเราอยู่บ้านพักทหารมาตลอด ซึ่งห้องเล็กมาก ถ้าเทียบกับครอบครัวใหญ่ของผม พอรู้ว่าผมซื้อบ้าน พ่อ แม่ ยาย และน้อง ๆ ทุกคนดีใจมาก โดยเฉพาะพ่อ แต่ท่านไม่เคยบอกผมตรง ๆ นะ เพื่อนสนิทของท่านเล่าให้ผมฟังว่า พ่อมานั่งร้องไห้และบอกว่าภูมิใจในตัวผมมาก เพราะท่านเองทำงานหนักมาตลอดชีวิต แต่ก็ซื้อบ้านให้ลูกไม่ได้ เหมือนผมได้สานต่อความฝันของพ่อให้เป็นจริง
ทราบมาว่า คุณพ่อป่วยเรื้อรังนานหลายปี หมอก้องดูแลรักษากายและใจของท่านอย่างไรบ้างคะ
พ่อป่วยเป็นโรคเบาหวานและความดันสูงมานานหลายปีแล้วครับ จนช่วงห้าปีสุดท้าย ท่านก็เป็นโรคไตวายเรื้อรังต้องไปฟอกไตทุกวันจันทร์ พุธ และศุกร์ รวมสามครั้งต่อสัปดาห์ เรื่องเงินไม่ใช่ปัญหา เพราะท่านเคยรับราชการ สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ แต่เรื่องการดูแลคือปัญหาใหญ่ของพวกเรา ครอบครัวไหนที่เคยมีผู้ป่วยเรื้อรังอยู่ภายในบ้านจะเข้าใจดีว่า เราไม่ได้ดูแลแค่ร่างกายผู้ป่วยเท่านั้น แต่ต้องดูแลรักษาจิตใจของเขาด้วย พ่อผมชอบพูดว่า อยากฆ่าตัวตายทุกครั้งที่ถูกแทงเข็ม อยู่ไปก็ไร้ค่า ตาย ๆ ไปซะ จะได้ไม่เป็นภาระของลูก ทุกครั้งที่พ่อคิดแบบนี้ ผมจะเข้าไปนั่งใกล้ ๆ แล้วบอกท่านว่า “พ่อ…พวกผมโตมากแล้ว มีงานทำเลี้ยงตัวเองได้ ถึงเวลาแล้วที่พวกผมจะตอบแทนเลี้ยงดูพ่อคืนบ้าง จริงอยู่ที่พ่อไม่ได้ทำงานอะไร แต่พ่อรู้ไหมว่า การที่พ่ออยู่ตรงนี้ทำให้ผมมีกำลังใจที่จะทำงานต่อ แค่ได้เห็นหน้าพ่อ ไม่ว่างานหนักแค่ไหนผมก็สู้ไหว” จากนั้นผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าพ่อมีกำลังใจดีขึ้น
หลายคนยอมเป็นหนี้เป็นสิน เพื่อยื้อชีวิตพ่อแม่ด้วยการปั๊มหัวใจขึ้นมาแล้วใส่เครื่องช่วยหายใจ ทั้งที่ในใจลึกๆ ก็รู้ดีว่า ร่างกายของท่านสู้ไม่ไหวแล้ว คุณหมอมีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไรคะ
ถ้าตอบในฐานะลูก ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกนี้ดีครับ เพราะเมื่อต้นปีที่ผ่านมาอาการของพ่อทรุดลงมาก ต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลพระมงกุฎฯ แล้วจู่ ๆ ท่านก็จากไปทั้งที่กำลังหลับ ตอนนั้นผมเป็นคนปั๊มหัวใจพ่อเองกับมือ ในหัวคิดอะไรไม่ออกนอกจากทำอย่างไรก็ได้ให้พ่อกลับมา ทั้งที่ในตำราสอนไว้ชัดเจนเลยว่า ถ้าปั๊มหัวใจต่อเนื่องหนึ่งชั่วโมงแล้วไม่กลับ ก็แปลว่า ความหวังริบหรี่แล้ว และต่อให้กลับมาได้ พ่อก็อาจอยู่ไม่นานเพราะสังขารท่านไปหมดแล้ว
หลังจากที่รู้ว่าหมดหวัง ผมก็ค่อย ๆ หยุด และพูดประโยคที่พูดออกมาได้ยากที่สุดในชีวิตว่า “พอแล้วครับ” ทีมแพทย์เลยหยุด ทิ้งให้ครอบครัวเราอยู่กันตามลำพัง ผมรีบเดินหนีออกมาร้องไห้คนเดียว เพราะทนดูภาพของแม่และน้องไม่ไหว เฝ้าถามตัวเองว่า การตัดสินใจครั้งนี้ถูกต้องแล้วหรือไม่ หลังทบทวนทุกอย่าง ผมจึงได้คำตอบว่า พ่อทรมานมานานมากแล้ว ถึงเวลาที่ท่านต้องไปแล้วจริง ๆ แต่ที่ผมยังคงปั๊มหัวใจพ่อซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะอยากให้พ่อตื่นมาร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายก่อน ให้พวกเราได้ทำใจสักนิด แล้วผมอาจยอมให้พ่อไป…
แต่ถ้าตอบในฐานะแพทย์ ผมว่าคนไข้ทรมานนะ แม้เขาจะนอนเป็นเจ้าชายนิทรา แต่ผมก็รู้สึกว่าเขารู้ตัวทุกอย่างว่ากำลังถูกทำอะไร ผมเคยเจอญาติผู้ป่วยที่ยอมเป็นหนี้ และผมมักถามให้เขาได้คิดว่ายื้อชีวิตไว้เพราะอยากช่วยคนป่วยหรือช่วยตัวเองกันแน่ ซึ่งแทบทุกคนยอมรับว่าทำเพื่อตัวเอง ซึ่งสุดท้ายเมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ เขาก็ยอมถอดเครื่องช่วยหายใจ
อาชีพหมอทำให้ต้องพบเจอความตายอยู่บ่อยครั้ง แล้วหมอก้องเคยวาดฝันถึงความตายของตัวเองบ้างไหมคะ
เคยครับ ตอนนั้นผมอายุยี่สิบปี เพิ่งบวชพระได้ไม่กี่วัน ขณะกำลังนั่งวิปัสสนากรรมฐาน จู่ ๆ ผมก็ระลึกขึ้นมาได้ว่า การมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมแบบนี้ดีจังเลย ถ้าถึงวันตาย ผมอยากตายแบบมีสติอย่างนี้ ไม่อยากตายแบบทรมาน อาชีพนี้ทำให้ผมเห็นความตายบ่อยจนเป็นปกติ คนส่วนใหญ่มักกลัวตาย กลัวความสูญเสีย ผมมองว่าจริง ๆ แล้วที่เรากลัว เพราะเราไม่เคยเจอกับความตายมาก่อน เลยทำให้เรารู้สึกกลัว ทั้งที่จริง ๆ แล้วความตายเป็นเรื่องปกติ ธรรมดาของชีวิต มีเกิด มีแก่ ก็ต้องมีเจ็บ มีตาย เป็นสัจธรรมเหมือนที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ถ้าเราหมั่นฝึกสติด้วยการนั่งวิปัสสนากรรมฐานแล้วฝึกระลึกถึงความตายบ่อย ๆ จะช่วยให้เรากลัวตายน้อยลง
การเป็นหมอทำให้ได้ช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมาก หมอก้องมองว่าตัวเองเป็นคนดีไหมคะ
ผมแบ่งคนออกเป็น 3 กลุ่มครับ คือ คนกลาง ๆ ไม่ดีไม่เลว ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้ใคร แต่ก็ไม่ได้สร้างประโยชน์ให้สังคม กลุ่มที่สองคือ คนเลวที่สร้างความเดือดร้อนให้บ้านเมือง และสุดท้ายคือคนที่ช่วยเหลือสังคม ผมมองว่าคนดีน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ช่วยเหลือสังคมนะ แต่ถ้าถามว่าผมช่วยเหลือสังคมไหม ผมก็ทำ แต่ทำเพราะเป็นหน้าที่ของหมอ ซึ่งถ้าเป็นอย่างนี้ผมก็คงไม่ใช่คนดีสักเท่าไหร่ จริงมั้ย…
เอาอย่างนี้แล้วกันครับ ผมขอยกคำสอนของพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านเคยถามผมว่า หมอคิดว่าตัวเองทำความดีเพื่ออะไร ผมตอบท่านไปว่า ลึก ๆ แล้วผมหวังได้รับความดีตอบแทนครับ พระอาจารย์ยิ้มและสอนว่า “หมอลองคิดอย่างนี้ดูสิ เราทำความดีเพื่อให้รู้ว่าโลกยังมีความดีหลงเหลืออยู่ แค่นี้พอไหม”…ผมฟังแล้วอึ้งเลย รู้สึกซาบซึ้งมาก และยึดคำสอนนี้เป็นคติประจำใจเพื่อสอนตัวเองทุกวัน
เวลานี้ผมพยายามทำหลาย ๆ อย่าง ทั้งเป็นหมอทหาร นักแสดง และวิทยากร ซึ่งทุกงานที่ทำ ผมตั้งใจให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมสูงสุด เพราะผมรู้แล้วว่า ชาตินี้ผมควรทำดีเพื่ออะไร…
ส่วนหนึ่งจากคอลัมน์ Idol Secrets :::
หมอก้อง – สรวิชญ์ กับชีวิตที่มีความตาย เป็นเพื่อนร่วมทาง
นิตยสาร Secret ฉบับวันที่ 26 พฤศจิกายน 2556
เรื่อง ชลธิชา แสงใสแก้ว www.facebook.com/cholticha.sa
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร
บทความน่าสนใจ
ภาวนาครอบครัว “หายใจสงบ เดินเป็นสุข” ณ มูลนิธิหมู่บ้านพลัม
พลังของการทำความดี – สุวรรณฉัตร พรหมชาติ เจ้าของฉายา แท็กซี่อุ้มบุญ
ปรับเปลี่ยนทัศนคติ เอาชนะ “ความท้อแท้”