เปิดความลับ!!! ช่วงชีวิตที่เคยศึกษาธรรมะ อาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา
ซีเคร็ตขอนำบทสัมภาษณ์ที่เคยสัมภาษณ์ อาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา เมื่อครั้งที่อาหนิงเคยบวชและศึกษาธรรมะ มาฝากผู้อ่านทุกท่านค่ะ
ทราบว่าเคยบวชมาแล้วสองครั้ง บวชครั้งแรกกับครั้งที่สองความตั้งใจต่างกันไหมคะ
ครั้งแรกบวชตรงกับวันเกิดช่วงอายุ 26 ตอนนั้นผมเป็นลูกศิษย์ของพระอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านบอกว่า “เกิดเป็นลูกผู้ชายไม่เคยบวชเสียชาติเกิด” ผมก็ผัดท่านมาเรื่อยเพราะยังติดละคร จนมาปีหนึ่งติดละครอยู่เรื่องเดียว จึงไปขออนุญาตผู้กำกับว่า ถ้าผมจะลาบวช 15 วันจะได้ไหม เขาก็อนุโมทนาด้วย
ตอนบวชแม่ยังไม่รู้เลย พอรู้ท่านก็ดีใจด้วย เวลาบวชผมไม่ได้ป่าวประกาศให้ใครรู้ เพราะไม่ต้องการให้มีคนมาเดินแห่พันคน มีกลองยาว หรือทำข่าวออกทีวี ผมไม่ต้องการเป็นเหมือนใคร แล้วใครก็ไม่ต้องเป็นเหมือนผม
หนที่สองบวชตอนวันเกิดครบ 60 ปี ก่อนบวชหนึ่งวันเพื่อนๆน้องๆ ในวงการก็มานั่งกินเลี้ยงสังสรรค์กันที่สนามกอล์ฟใกล้บ้านผมทั้งพี่วิลลี่ (วิลลี่ แมคอินทอช) พี่ชาคริต (ชาคริต แย้มนาม) นก -ฉัตรชัย (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) ก็มา แต่ไม่มีใครรู้เลยนะว่าผมจะบวชเขารู้แต่เพียงว่า สองปีมาแล้วที่ทุกวันเกิดผมจะรับเป็นประธานจัดอุปสมบทหมู่ ปีแรกผมถวายตาลปัตรกับผ้ากราบพระ ปีที่สองถวายผ้าไตร คือแทนที่ทางวัดจะต้องมาเสียค่าใช้จ่ายส่วนนี้ ผมก็ออกให้เอง เบ็ดเสร็จแล้วตกปีละแสน
วันนั้นผมบอกเพื่อนๆ น้องๆ ว่าให้มาร่วมกันบวชพระ ราย-ละเอียดอย่างอื่นไม่ได้บอก เสร็จแล้วก็ติดต่อพระอาจารย์รูปหนึ่งที่วัดซึ่งอยู่จันทบุรีว่าผมจะบวช แต่ขอร้องท่านว่ายังไม่ต้องบอกเจ้าอาวาสว่าผมเป็นใคร กว่าเจ้าอาวาสจะรู้ก็ตอนผมจะบวชแล้ว ท่านตกใจเกือบตกเก้าอี้เหมือนกัน
พอได้เวลาพวกเพื่อนๆ น้องๆ มาถึงที่วัดก็หาผมใหญ่เลย นึกว่าหายไปไหน พอเข้าไปเห็นผมใส่จีวรเดินออกมาจากโบสถ์ ตกใจกันเป็นแถว เพื่อนบอก “โห มันเล่นอำกันแบบนี้เลยเหรอ” นก -ฉัตรชัยยังไม่เชื่อ ถามคนอื่นว่า “นี่อาเขาถ่ายหนังเหรอ ถึงแต่งตัวเป็นพระ” แหม…ใครจะทำเหมือนขนาดนั้น หัวเหอเกรียนหมด
ที่ไม่บอกใคร ความจริงแล้วผมไม่ได้แกล้ง แต่ไม่อยากให้วุ่นวายโกลาหล ผมไม่อยากให้ใครมาเป็นภาระ ผมบวช ทำไมเพื่อนต้องมาเสียสตางค์ เราบวชเพื่อจะสละ ทำไมต้องให้คนอื่นเดือดร้อนก็แค่คนคนหนึ่งจะไปโกนผมนุ่งผ้าเหลืองเท่านั้น แล้วปกติเขาก็เห็นผมเหมือนพระอยู่แล้ว
ช่วงที่บวชมีโอกาสศึกษาธรรมะมากไหมคะ
เมื่อบวชก็ต้องทำกิจของสงฆ์อยู่แล้ว ง่ายๆ คือ บิณฑบาตกวาดลานวัด ทำวัตรเช้าวัตรเย็น ศึกษาธรรมะ และนั่งวิปัสสนา-กรรมฐาน
หลังจากสึกมาแล้วผมก็ไปนั่งสนทนาธรรมกับพระอาจารย์ ส่วนวิปัสสนาทำที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องเป็นที่วัด ก่อนนอนก็สวดมนต์ ซึ่งบทสวดของผมไม่เหมือนใคร บางคนอาจจะสวดพาหุง หรือสวดธรรมจักร หรือสวดชินบัญชร แต่บทสวดมนต์ของผมไม่มีในหนังสือ ผมเรียนรู้และได้มาเอง
สำหรับผม การสวดมนต์คือการภาวนาจิตเพื่อให้เรามีหลักยึด ไม่ใช่นอนไม่หลับแล้วมาสวด แต่ควรทำให้เป็นกิจวัตรประจำวัน
ตอนที่ภรรยาเสียแล้วและไปใช้ชีวิตอยู่สหรัฐอเมริกา ได้ใช้ธรรมะเยียวยาจิตใจตัวเองบ้างไหมคะ
ภรรยาผมเสียเมื่อปี 39 ตอนนั้นหยุดรับงาน เงินเลยหมด ผมตั้งใจว่าจะไปขายบ้านที่ซื้อไว้ที่อเมริกา แต่บ้านไม่เหมือนข้าวแกงจะได้ขายกันได้ง่ายๆ ผมไปเดือนสิงหาฯ แต่กว่าจะขายได้ก็เดือนกุมภาฯ แล้วยังไงไม่รู้ ผมไปซื้อบ้านต่ออีกหลังแล้วอยู่ต่ออีกหกปี โดยไม่ได้ทำงานอะไรเลย
ผมใช้ชีวิตแบบทุกวันตื่นขึ้นมาเพื่อรอพระอาทิตย์ตกแล้วก็เข้านอน…คนที่ไม่เคยมีเมียจะไม่รู้หรอกว่าเวลาเมียตายโดยไม่สั่งลาสักคำมันเป็นอย่างไร คนที่อยู่ด้วยกันมาสิบกว่าปี ไม่ใช่สัตว์เลี้ยง จะให้ไม่รู้สึกอะไรเลยได้อย่างไร ต่อให้เป็นสัตว์เลี้ยงเราก็รู้สึก นี่เป็นมนุษย์…เป็นเหมือนอีกซีกหนึ่งของเรา แล้วหลุดออกไปเฉยๆ กว่าจะเอากลับเข้ามาได้ มันเรื่องง่ายๆ เหรอ ดังนั้นเวลาใครถามว่าทำไมถึงไปอเมริกา ผมไม่สามารถพูดให้ใครฟังได้ว่าไปทำอะไรไปเศร้าเหรอ ไม่ใช่…แค่ง่วงก็นอนเท่านั้น ไม่ถึงขนาดอยากฆ่าตัวตายแค่รู้สึกเหมือนมีชีวิตอยู่แค่ครึ่งเดียว แต่อย่างไรผมก็ต้องมีชีวิตอยู่
ผมเรียนรู้ว่าทุกอย่างต้องใช้เวลา สวดมนต์ไหว้พระผมก็สวดอยู่ แต่ตอนนั้นไม่ว่าทำอะไรก็ช่วยไม่ได้ คนจะมาบอกว่า เศร้าเหรอ…ไปนุ่งขาวห่มขาว บวชชีพราหมณ์สิ ผมคิดว่านั่นเป็นแฟชั่นนะ ที่พอคนเศร้าแล้วไปชวนคนที่เศร้าอีกแปดสิบคนไปบวชด้วยกันตอนนั้นผมรู้ว่าไม่มีอะไรจะช่วยผมได้ ต้องนิ่งอย่างเดียว จะบอกว่าให้ไปนั่งวิปัสสนากรรมฐานแล้วจะทำให้ทุกข์หาย ไม่จริงหรอก เพราะเวลาที่ทุกอย่างในหัวมันปั่นป่วนไปหมด เหมือนกับเฮอร์ริเคนมาเราไม่สามารถเอาอะไรไปกั้น เราต้องปล่อยมันไป นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่จะทำได้ ผมใช้วิธีปล่อยให้เวลาผ่านไปเรื่อยๆ วันนี้คิดมาก พรุ่งนี้ก็คิดให้น้อยลงมาหน่อย เวลาเท่านั้นที่จะช่วยได้ ไม่มีหรอกผู้วิเศษที่จะทำให้ทุกข์หายทันที ธรรมะก็เหมือนกัน ต้องใช้เวลา ไม่มีใครหรอกที่จะนำธรรมะมาช่วยได้ทั้งหมดทันที
คิดถึงวันที่จะเกษียณจากวงการไหมคะ เตรียมตัวไว้อย่างไร
อาชีพนักแสดงโชคดีว่าไม่มีวันเกษียณ เพราะการแสดงเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคน ทำให้ต้องมีนักแสดงตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยคุณปู่ ผมคิดว่าถ้ายึดอาชีพนี้เป็นหลักแล้วไม่มีคำว่าเกษียณเพราะถ้ายังมีความสุขกับงานก็ทำไปได้ตลอด แม้ว่าการเป็นนักแสดงจะเหนื่อยไม่ต่างกับชีวิตเกษตรกร ต้องรอฟ้ารอฝนรอแดด แต่ถ้าทำใจให้มีความสุข เข้าใจธรรมชาติ เราก็ไม่หงุดหงิด ไม่ทุกข์
ส่วนการเตรียมการในเรื่องเงินๆ ทองๆ นั้น ได้เงินมาก็เก็บเข้าธนาคาร ไม่ได้บริหารหรือแบ่งสัดส่วนอะไร เก็บไว้ทั้งหมด เวลาใช้ก็ใช้เท่าที่จำเป็น เพราะรู้ว่าอย่างน้อยเราควรจะมีเงินเหลือไว้บ้าง
ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยคิดว่าจะมีอายุถึงเท่าไร ไม่เคยคิดถึงเรื่องความเป็นความตาย แต่พออายุเลย 40 มาถึงสัก 45 – 46 ปีเริ่มคิดแล้ว ผมไม่ได้กลัวความตาย แต่คิดว่าเราจะอยู่ได้สักกี่ปีนะ ตอนนี้ ผมก็เริ่มคิดแล้วว่าอาจจะตายวันนี้พรุ่งนี้หรือเปล่า ก็หมั่น ตรวจเช็คร่างกายตัวเองว่าเจ็บตรงไหน ปวดตรงไหน เป็นอะไรหรือเปล่า
ทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่ผมอยากทำอีกแล้ว เหลือแต่ทำตัวเราเท่านั้นเป็นตัวของตัวเอง และทำตัวให้เป็นประโยชน์กับคนอื่น ก็แค่นั้นเอง…
“วัตถุมงคลไม่ใช่แค่เครื่องรางของขลังที่ช่วยให้ยิงไม่เข้าหรือทำให้ร่ำรวย แต่เป็น สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจให้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม เมื่อมีธรรม สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็จะคุ้มครอง”
Secret Box
เคล็ดลับของการอยู่เป็นโสด…แต่มีความสุข ในแบบของนิรุตติ์ ศิริจรรยา
- รู้จักเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ จากสิ่งใกล้ตัว เช่น อาหารอร่อยๆ เพื่อนร่วมงานดีๆ ธรรมชาติที่สวยงาม
- ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายเพื่อรบกวนตัวเองและคนอื่นให้น้อยที่สุด
- แบ่งเวลาทำประโยชน์เพื่อสังคม
- เข้าใจสัจธรรมของชีวิตว่าทุกข์สุขไม่จีรัง เพื่อละวางจากความยึดติด
- ใช้ชีวิตอย่างมีระเบียบวินัย เพื่อความสำเร็จของงาน
- ให้ความสำคัญและมีความสุขกับผลของงานมากกว่าตัวงานที่ต้องทำ
กดคลิกอ่านชีวิตนอกจอของ อาหนิง นิรุตติ์ ศิริจรรยา พระเอกตลอดกาล
กดคลิกได้เลยค่ะ
เรื่อง อุษาวดี สินธุเสน, เสาวลักษณ์ ศรีสุวรรณ
ภาพ ณัฐวุฒิ เพ็งคำภู, อนุพงศ์ เจริญมิตร
ภาพ นิตยสาร Secret
บทความน่าสนใจ
เปิดความลับ คุณพี่หมื่นสุนทรเทวา ในชีวิตจริง กับเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครรู้
โสด แต่สุข บทบาทที่เลือกเอง ของ นิรุตติ์ ศิริจรรยา ออกญาโหราธิบดี ใน บุพเพสันนิวาส