นับแต่พบ ” มะเร็งเต้านม ” เมื่อครั้งทำงานเป็นแม่ครัวของร้านอาหารไทยที่นครชิคาโก สหรัฐอเมริกา การกินอยู่แบบไทยๆ ที่พวกเราคุ้นเคยก็สามารถพาคุณธัญวรัตน์ ทนายกิจ หรือคุณแป๋ว ผ่านพ้นช่วงเวลาร้ายๆ ให้กลับมาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขอยู่ได้กระทั่งปัจจุบัน
เมื่อมะเร็งถามหา
ในขณะที่ใช้ชีวิตอยู่นครชิคาโก้ 24 ชั่วโมงในแต่ละวันของคุณแป๋วหมดไปกับงาน งาน และงาน เธอยอมรับว่าวิถีชีวิตในช่วงนั้นทำให้การกินอยู่ผิดไปจากเดิม นำมาซึ่งปัญหาที่เรียกได้ว่าใหญ่ที่สุดในชีวิตครั้งหนึ่งก็ว่าได้
“อยู่ที่นั่นเรากินอยู่ไม่เหมือนเดิม ที่กินอยู่บ่อยๆ คือ พอร์คชอร์ป แพ็คหนึ่งมี 7-8 ชิ้น เก็บไว้กินได้เป็นอาทิตย์ ราคาก็ไม่แพงด้วย ถ้าทำอาหารกินเองก็ชอบกินเนื้อติดมัน แหนม หน่อไม้ดอง แต่ก็ไม่ได้กินมาก ผักไม่ค่อยกินเพราะเดิมทีเราไม่ชอบกินผักอยู่แล้ว กินได้ไม่กี่อย่าง กินข้าวแค่สองมื้อ กินมื้อเช้าเก้าโมง เป็นกาแฟกับขนมปัง บางครั้งก็กาแฟอย่างเดียว มื้อกลางวันกินตอนบ่ายสอง มื้อเย็นก็แล้วแต่งานเสร็จ สามทุ่มถึงสี่ทุ่ม คนที่โน่นเป็นแบบนี้กันทั้งนั้น และเท่าที่เห็น เขาก็เป็นมะเร็งกันมาก”
นอกจากการรับประทานอาหารหลายอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพแล้ว ความเครียดที่มีเป็นระลอกๆ อยู่ทุกวันจากการต้องทำอาหารในช่วงเวลาที่มีลูกค้ามาก
เพียงปีกว่า การกินอยู่ที่ไม่ถูกต้องและเจ้าความเครียดตัวร้ายที่ต้องประสบพบเจอไม่เว้นแต่ละวันก็ช่วยกันทำลายสุขภาพจนเกิดความผิดปกติมากขึ้นทุกทีจนเธอรู้สึกได้
“ตอนนั้นเรารู้สึกเหนื่อยและเพลียมากขึ้น นอนหลับเร็ว จากที่ไม่เคยนอนกลางวันก็นอน กลางคืนก็นอนหลับเร็ว ในตัวเหมือนมีกระแสไฟวิ่งอยู่ จะรู้สึกเจ็บแปลบบริเวณหน้าอกอยู่เรื่อยๆ เหมือนเจ็บที่หัวใจอย่างนั้น ประจำเดือนก็มาวันเดียวหยุด จนวันหนึ่งอาบน้ำแล้วสะดุดก้อนเนื้อก้อนใหญ่แข็งๆ อยู่ตรงหัวนมข้างซ้าย ไปหาหมอ หมอบอกว่าเป็นมะเร็ง ระยะที่ 2 ที่กำลังลามเข้าสู่ต่อมน้ำเหลืองนัดผ่าตัดหลังจากนั้นเจ็ดวัน”
วันนั้นคุณแป๋วนั่งรถไฟกลับบ้านด้วยสภาพจิตใจที่ไม่ปกติ ความหวังและกำลังใจที่พอจะมีอยู่บ้างเมื่อตอนขาไปก็เหือดแห้งจนแทบไม่มีเหลือ แต่ไม่นานนัก เธอก็สามารถพาตัวเองออกมาจากความคิดด้านลบได้ในที่สุด
กินอย่างไทยฟื้นฟูร่างกาย
เมื่อได้ทบทวนตัวเอง พยายามหาสาเหตุว่ามะเร็งมาได้อย่างไร เรื่องแรกที่เธอคิดว่าเป็นหนึ่งในสิ่งที่จุดเชื้อการลุกลามของมะเร็งก็คือ อาหาร
“ตอนนั้นเรากลัวเนื้อสัตว์ไปเลย ยิ่งได้อ่านหนังสือเรื่องการดูแลตัวเองของคนเป็นมะเร็งที่น้องๆ ส่งไปให้จากเมืองไทย ยิ่งแน่ใจว่านอกจากเรื่องกรรมพันธุ์ที่หมอบอกแล้ว อาหารกับอารมณ์ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้เราเป็นมะเร็งเหมือนกัน”
จากการที่ได้หาความรู้เกี่ยวกับอาหารจากหนังสือสุขภาพที่ส่งไปจากเมืองไทย เธอลงมือปฏิบัติควบคู่ไปกับการรักษาแผนปัจจุบันทันที
การกินนี้จะเป็นอย่างไร ติดตามต่อได้ใน
หน้าถัดไป
“ช่วงนั้นไม่กินเนื้อสัตว์เลย เดิมที่ไม่ชอบกินผักก็พยายามกินให้ได้ทุกชนิด ถั่วลันเตากินไม่ได้ก็กิน เช่น ผัดผัก ผัดไทยผัก ราดหน้าผัก เปลี่ยนมากินข้าวกล้อง ทั้งหุงเป็นข้าวสวย ปั่นเป็นโจ๊ก กินปลา ส่วนใหญ่เป็นปลาโซล (ปลาทะเลชนิดหนึ่ง ประเภทปลาลิ้นหมา-ผู้เขียน) เราก็ทำปลาผัดขึ้นฉ่ายกับขิงเป็นอาหารหลักเลย กับสาหร่าย อ่านชีวจิตเจอเรื่องกล้วย ก็เริ่มกินกล้วยหอมทุกเช้า กินมะเขือเทศปั่น แอปเปิ้ลปั่น กินฝรั่ง เพราะมีวิตามินซีสูง แต่ผลไม้รสหวานจะไม่กิน”
“กลับมาถึงเมืองไทย อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ อยู่พัทยา จะเน้นกินข้าวกล้องกับผักจิ้มน้ำพริก ถั่วพู ถั่วฝักยาว ผักบุ้ง พวกผักพื้นบ้าน ถ้าเจอจะซื้อเลย อย่างผักแพรว ผักเหม็ด ผักปรัง ผลไม้ก็เลือกผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็น เพราะตอนนี้ในร่างกายเราก็ยังร้อนอยู่ เช่น แก้วมังกร พอกินผักเข้าไปแล้วรู้สึกว่าอร่อยขึ้นเรื่อยๆ ทานได้หมดเลย อะไรที่ดีต้องกินได้ เนื้อสัตว์จะเน้นปลาทะเล อย่างปลาเก๋า ปลาอินทรี ปลาน้ำดอกไม้ และตอนนี้กินข้าวสามมื้อตรงตามเวลา มื้อเช้า แปดโมง มื้อกลางวัน ตอนเที่ยง มื้อเย็น ห้าโมง”
นอกจากอาหารหลักที่ดูแลอย่างเคร่งครัดแล้ว เธอยังให้ความสำคัญกับสมุนไพรไทยๆ ที่เป็นยาดีจากธรรมชาติด้วย
“เห็นสูตรน้ำสมุนไพรก็เลยอยากทำ เพราะเชื่อว่ากินแล้วดี อยู่ที่นั้นก็พยายามทำกินเอง อย่างน้ำใบบัวบก ตอนผ่าตัดและให้เคมีบำบัด ออกไปไหนไม่ได้ก็ฝากเขาซื้อ เพราะใบบัวบกแก้ช้ำใน และแก้แผล ช่วงทำเคมีบำบัดเราจะร้อน เหมือนจะปะทุออกมาเลย จนกลับมาเมืองไทยก็ยังร้อนอยู่ ก็ทำกินเรื่อยมาเลย ตอนนี้ดื่มวันละหนึ่งแก้วตอนบ่ายสามโมงทุกวันดื่มสับเปลี่ยนกันไป มีน้ำดอกอัญชัน น้ำตะไคร้ผสมใบเตย น้ำลูกสำรอง ซื้อเอามาทำเอง น้ำสมุนไพรกินแล้วก็ดีสบายเนื้อสบายตัวดี”
ลุยน้ำ ย่ำยอดหญ้า เฮฮารำกระบอง
หลังจากให้เคมีบำบัดแล้วคุณแป๋วร่างกายอิดโรย โดยเฉพาะขาทั้งสองข้างที่มีอาการปวดและชาตอนกลางคืน เมื่อพอมีแรงจึงไม่นิ่งดูดายรอให้อาการดีขึ้นเอง คุณแป๋วแข็งใจลุกขึ้นพยายามออกกำลังกายเท่าที่ทำได้ในตอนเช้า
“อาการปวดๆ ชาๆ จะปล่อยไปอย่างนี้ไม่ได้ ต้องลุกขึ้นมาออกกำลังกาย ใกล้บ้านมีสวนสาธารณะที่มีทะเลสาบอยู่ด้วย เช้าประมาณหกโมงครึ่งเราก็ออกเดินประมาณสองกิโลเมตรไปที่สวนสาธารณะ แต่ต้องเดินแบบเร็ว ให้พอได้เหงื่อ ไปถึงก็ถอดรองเท้า ทำตามที่โบร่ำโบราณของเราบอกไว้ว่า ให้เท้าได้โดนน้ำค้างเราก็ย่ำยอดหญ้าที่มีน้ำค้างชุ่มๆ แล้วก็ลงไปเดินย่ำทรายที่อยู่ริมทะเลสาป แล้วก็เดินลงไปลุยน้ำริมทะเลสาปให้ขาและเท้าได้ออกกำลังต้านกับน้ำ เดินในน้ำสูงระดับหน้าแข้ง ทำอย่างนี้ทุกวัน อาการดีขึ้นเรื่อยๆ เหนื่อยก็นั่งพัก บิดตัวไปมา มองดูธรรมชาติของทะเลสาปแบบสบายๆ นั่งคุยกับต้นไม้ใหญ่ก็เป็นอย่างหนึ่งที่ช่วยให้รู้สึกสดชื่น”
เมื่อกลับสู่เมืองไทย คุณแป๋วลุยเรื่องการออกกำลังกายต่อด้วยการรำกระบองกับสามีบนดาดฟ้าของบ้านเป็นประจำทุกวัน
“รำกระบองนี่ซื้อหนังสือศึกษาตั้งแต่อยู่ที่โน่นแล้ว แต่หากระบองไม่ได้ เคยลองใช้ไม้อื่นๆ อย่างไม้กวาด (หัวเราะ) ความยาวก็ไม่พอดี ก็ไม่ได้ทำสักที พอกลับมาก็ลุยเต็มที่ เราสองคนจะออกกำลังกายด้วยกันทุกวัน ตัวเราเองก็ทำท่าเท่าที่เราทำได้ ยังทำไม่ได้เต็มที่ทุกท่า ก็ค่อยๆ ทำ สลับท่าโน้นท่านี้ให้ได้ประมาณ 1 ชั่วโมง ทำแล้วรู้สึกสดชื่นสบายดีขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้รำจนติดแล้ว อยากทำทุกวัน ชอบทำท่าแหงนดูดาว และท่า 180 องศา”
ปัจจุบันร่างกายของคุณแป๋วสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีการลุกลามของเซลล์มะเร็ง เราจบบทสนทนาอารมณ์ดีด้วยบทสรุปที่ว่า “ได้อยู่เมืองไทย ได้อยู่กับธรรมชาติแล้วรู้สึกสบายกายสบายใจ”
ข้อมูลเรื่อง ” กินอยู่แบบไทยสู้ มะเร็งเต้านม ” จากนิตยสาร ชีวจิต