ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ อาหารต้านโรคหัวใจ กินอยู่อย่างไรให้ไกลโรค
บทความนี้ ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์นายแพทย์นิธิ มหานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาภรณ์และศูนย์การแพทย์จุฬาภรณ์
เฉลิมพระเกียรติ ในฐานะแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจ คุณหมอนิธิได้แนะนำการกิน อาหารต้านโรคหัวใจ ไว้ดังนี้
ปรับอาหาร กินดีก่อนป่วย
คุณหมอนิธิเล่าถึงการกินอาหารทั้งสำหรับคนที่สุขภาพปกติและคนที่ป่วยด้วยโรคหัวใจหรือมีโรคประจำตัวที่เพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจว่า
“กรณีที่ยังมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เป็นโรคหัวใจหรือโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจ เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง ผมมีคำแนะนำที่สั้นมากๆ คือ กินให้หลากหลายและหยุดก่อนอิ่ม
“เหตุที่แนะนำเช่นนี้เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อมูลโภชนาการบอกว่า ไม่ควรกินไขมัน คนก็ทำตาม กินไขมันน้อยลง แต่ไปกินแป้งและน้ำตาลมากขึ้น สรุปว่า อ้วนและเสี่ยงโรคหัวใจอยู่ดี ปัญหาสุขภาพทั้งหลายเกิดจากการกินไม่สมดุล ไม่หลากหลาย พอให้ลดอาหารประเภทหนึ่ง ก็จะไปเพิ่มปริมาณอาหารประเภทอื่นแทน”
แล้วการ“กินน้อย”ดีกว่า “กินเกิน”อย่างไร คุณหมอนิธิอธิบายเพิ่มเติมว่า
“ที่ผมบอกให้กินน้อย หยุดก่อนอิ่ม เพราะคนส่วนใหญ่มักจะกินเกิน ขณะนี้มีรายงานวิจัยออกมาสนับสนุนแล้วว่า การกินน้อย ไม่กินเกิน ช่วยให้อายุยืน โอกาสป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่างๆก็ลดลง ได้ผลชัดเจนทั้งในระดับยีน ระดับเซลล์ระดับสัตว์ทดลอง ซึ่งล้วนแต่พบตรงกันว่า กินน้อย สุขภาพจะแข็งแรง และอายุยืนขึ้น
“งานวิจัยของนักวิจัยชาวญี่ปุ่นพบว่า ถ้ามีการอดระยะสั้นๆจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่ ดังนั้นอย่ากินให้อิ่ม แต่ให้หยุดก่อนอิ่มจึงจะพอดีต่อสุขภาพ ข้อนี้ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนพระเจ้าปเสนทิโกศลซึ่งเสวยจุ มีพระวรกายใหญ่ จึงทำให้ประทับนั่งฟังเทศนาธรรมได้ไม่ถนัดว่า การบริโภคมากเกินไปเป็นทุกข์”
วิธีปรับอาหาร ป้องกันโรคหัวใจ
คุณหมอนิธิแนะนำว่า หัวใจสำคัญคือ ต้องกินให้สมดุลทั้ง 5 หมู่ และหยุดในปริมาณที่พอเหมาะ ดังนี้
• ต้องหยุดเมื่อไร เรื่องนี้เป็นปัจจัยเฉพาะบุคคล เทียบกันไม่ได้ให้สังเกตปริมาณว่า กินไปแล้วพอหายหิว ขอให้หยุด ถ้ากินเกินกว่านี้
จะรู้สึกอิ่ม มากกว่านี้จะรู้สึกจุก ซึ่งเป็นการกินเกิน จึงส่งผลเสียต่อสุขภาพแน่นอน
• นับอาหารเป็นคำๆ ถ้าเรากินน้อยลง กระเพาะอาหารจะเคยชินวิธีนี้ช่วยคุมน้ำหนักได้ดี แต่ต้องมีสติและฝึกฝนไปเรื่อยๆ คุณหมอนิธิ
ยกตัวอย่างว่า มีคนไข้คนหนึ่งใช้วิธีนับอาหารเป็นคำๆดูว่าอิ่มพอดีนับได้ 15-16 คำ ก็ใช้เกณฑ์นี้เป็นมาตรฐาน เมื่อทำต่อเนื่องน้ำหนักก็ค่อยๆลดลงได้ผลน่าพอใจมาก
• กินอาหารที่มีกากใยสูง ได้แก่ ผัก ผลไม้ ซึ่งทำให้รู้สึกอิ่มได้นานและระบบขับถ่ายทำงานดีขึ้นอีกด้วย หลายคนมักพูดว่า ถ้าไม่กินข้าวจะรู้สึกไม่อยู่ท้อง แต่ตัวผมเองกินข้าวน้อยเพราะพิจารณาจากวัยและปริมาณพลังงานที่ต้องการต่อวัน
• กินไขมันบ้าง กรมอนามัยแนะนำว่า ควรกินไขมันไม่เกินวันละ 6 ช้อนชาในคนปกติ และไม่เกินวันละ 3 – 4 ช้อนชาในผู้ป่วยเบาหวาน
ทั้งนี้ขอให้เลือกไขมันดีจากถั่วเปลือกแข็ง อะโวคาโด น้ำมันเมล็ดชา น้ำมันรำข้าว น้ำมันมะกอก
• อาหารต้องห้าม คุณหมอนิธิชี้ว่า เป็นกลุ่มอาหารพลังงานสูงสารอาหารต่ำ (Empty Calories) เช่น เครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูง กาแฟเย็น
ชานม ดื่มลงไปแป๊บเดียวหายวับ ไม่อยู่ท้อง ได้แคลอรีสูง แต่สารอาหารต่ำ 1 แก้วได้พลังงานมากกว่า 100 แคลอรี เทียบเท่าข้าว 2 ทัพพี
นอกจากได้พลังงานเกินแล้ว อาหารกลุ่มนี้จะไปกระตุ้นให้ร่างกายอยากอาหารมากขึ้น แตกต่างจากอาหารที่ใช้เวลาย่อยนาน ซึ่งร่างกาย
ค่อยๆดูดซึมแคลอรีเข้าไป แบบนั้นไม่ต้องกินมากแต่จะรู้สึกอิ่มนานกว่า
หน้าถัดไป คุณหมอจะแนะนำเกี่ยวกับอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจค่ะ