วิตามินเยียวยาสมองเสื่อม จากการนอนผิด
สมองถือเป็นอวัยวะสำคัญที่ช่วยควบคุมการทำงานส่วนหลักๆ ของร่างกายอาจารย์สาทิสแนะวิธีสังเกตอาการผิดปกติของสมองที่มีสาเหตุจากท็อกซินไว้ว่า
CHECKLIST
อาการผิดปกติของสมองจากท็อกซินภายในร่างกาย
- อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ เพราะปัญหาความเครียด มีอาการโกรธและอาละวาด
- นอนไม่หลับ
- สติเลื่อนลอย ไม่มีสมาธิ คลื่นไส้ อาเจียน ไซนัสอุดตัน
- ซึมเศร้าตลอดเวลา เบื่ออาหาร เพราะโศกเศร้าเสียใจ
- เมื่อขึ้นที่สูงจะรู้สึกวิงเวียน คลื่นไส้ทันทีทันใด (ไม่เคยเป็นมาก่อน) บ่งชี้ว่าอาจเป็นโรคเกี่ยวกับช่องหูเชื่อมต่อกับสมอง
- มีอาการกามตายด้าน (เพราะป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือเครียด)
อาการผิดปกติของสมองจากท็อกซินภายนอก
- กระสับกระส่ายและหงุดหงิด โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในสถานที่เดิมเป็นประจำ เช่น โรงงาน สำนักงาน
- อารมณ์และนิสัยเปลี่ยนเมื่อได้กลิ่นหรือสัมผัสกับสารเคมีบางชนิด
- ง่วงเหงาหาวนอน นอนไม่หลับ นอนผิดเวลา เช่น ง่วงตอนเช้า แต่นอนไม่หลับตอนกลางคืน
- เลื่อนลอยและมึนซึม คิดอะไรไม่ออก อาจเกิดจากการได้รับสารตะกั่ว
- เวียนศีรษะ คลื่นไส้ จากการดื่มสุรา เสพยาเสพติด หรือแพ้ยาปฏิชีวนะ
- เบื่ออาหารเมื่ออยู่ท่ามกลางมลพิษ หงุดหงิด ปากแห้ง เจ็บหน้าอก อาจเกิดจากการเสพยาเสพติดหรือพ่นยาแก้คัดจมูก

ไลฟ์สไตล์ก่อท็อกซิน
แพทย์ พยาบาล ทหาร ตำรวจ พนักงานรักษาความปลอดภัย ตลอดจนคนทำงานกะดึก นอนไม่เป็นเวลา หรือทำงานจนลืมนอน บุคคลเหล่านี้ล้วนมีความเสี่ยงป่วยเป็นโรคสมองเสื่อม
โดยงานวิจัยจากภาควิชาประสาทวิทยา มหาวิทยาลัยวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ศึกษาพบว่า การอดนอนกระตุ้นให้เกิดการหลั่งโปรตีนเบต้าแอมีลอยด์ (Beta-Amyloid Protein) ในสมองเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เซลล์สมองถูกทำลายสมองจึงเสื่อมเร็ว ในขณะที่การนอนเต็มอิ่มช่วยให้ระดับโปรตีนเบต้าแอมีลอยด์ลดลง
อาจารย์สาทิสอธิบายว่า “เมื่อแอมีลอยด์รวมตัวกันมากเข้าจะปรากฏเป็นเมือกบางๆ คล้ายไขมันในท้องสัตว์ โดยหากแผ่นหรือคราบนี้รวมตัวอยู่ในสมองปริมาณมากจะทำให้สมองทำงานผิดปกติ ดังนั้นวิธีที่จะช่วยชะลอความเสื่อมของสมองคือ การเร่งระบายแอมีลอยด์หรือท็อกซินออกจากสมอง”
ทั้งนี้การระบายท็อกซินจะเกิดขึ้นเมื่อสมองได้พักผ่อนเต็มที่ในขณะนอนหลับ โดยการนอนอย่างมีคุณภาพต้องนอนหลับสนิท ไม่ฝัน หลับลึกจนถึงเช้า นอนหลับนาน 5 – 6 ชั่วโมงหรืออย่างมากที่สุด 8 ชั่วโมงก็นับว่าเพียงพอ
VITAMIN GUIDE
สำหรับวิตามินที่ช่วยล้างพิษนั้น แนะนำวิตามินบีและกลูโคสซึ่งพบในธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวแดง (ข้าวมันปู) และข้าวเหนียวซ้อมมือ หากกินแทนข้าวขาวจะช่วยชะลอการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำตาลในเลือด ทั้งเป็นแหล่งอาหารของสารสื่อประสาทและช่วยเพิ่มพลังงานให้สมอง
โดยแนะนำให้กินร่วมกับกรดไขมันโอเมก้า - 3 จากปลาและอาหารทะเลสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพราะมีการศึกษาพบว่า กรดไขมันโอเมก้า - 3 มีคุณสมบัติลดไขมันไตรกลีเซอไรด์และคอเลสเตอรอลร้ายในเลือด (LDL-Cholesterol) โดยป้องกันการอุดตัน การเกาะตัวของเกล็ดในหลอดเลือดสมอง ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคสมองเสื่อม
นอกจากนี้อาจารย์สาทิสยังแนะนำสูตรวิตามินที่ช่วยฟื้นฟูและบำรุงสมอง คือ
วิตามินบี1 ขนาด 100 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
วิตามินบี2 ขนาด 100 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
วิตามินบี6 ขนาด 100 มิลลิกรัม ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเช้า
วิตามินบี12 ขนาด 100 ไมโครกรัม ครั้งละ 1 เม็ด หลังอาหารเย็น
ระหว่างนี้ให้ดื่มน้ำอาร์ซีครั้งละแก้วหรือครึ่งแก้วทุก 2 ชั่วโมงควบคู่ไปด้วย
ช่วยผิวแข็งแรง เปล่งออร่า
อาจารย์สาทิสแนะนำอาการผิดปกติของผิวหนังส่วนต่างๆ ไว้ดังนี้
CHECKLIST
อาการผิดปกติของผิวหนังจากท็อกซินภายใน
- ผิวแห้ง คัน แตกเป็นน้ำใส อาจเกิดจากอาการแพ้ หรือโรคผิวหนัง
- ผิวเหลือง ตาเหลือง ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีขาว อาจเกิดจากโรคตับ
- มีตุ่มหรือเป็นผื่นแดง หมายถึง เกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง หรือถูกแมลงกัดต่อย
- หน้าแดงและอ่อนเพลีย หายใจติดขัด อาจเกิดจากอาการแพ้
อาการผิดปกติของผิวหนังจากท็อกซินภายนอก
- มีหัวหนองเล็กๆ เหมือนสิว มีกลิ่นฉุน อาจได้รับสารพิษที่ใช้ในการทำพลาสติก
- ผิวเหลืองและตกสะเก็ด มีดอกเล็บ ปวดศีรษะ มึนงง อาจได้รับพิษจากสารหนู
- ผิวหนังซีดหรือมีสีออกม่วง เลือดจาง อาจได้รับพิษจากสีย้อมผ้า สีทาบ้านหมึกพิมพ์
- หน้าแดง คันยิบๆ อาจเกิดจากการแพ้ผงชูรส

ไลฟ์สไตล์ก่อท็อกซิน
แพทย์หญิงประณีต สัจจเจริญพงษ์คลินิกผื่นแพ้สัมผัสและอาชีวเวชศาสตร์สถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ผ่านบทความ Occupational Dermatoses ว่า ร้อยละ 90 ของโรคผิวหนังที่เกิดจากการทำงานมีสาเหตุจากการสัมผัสสารเคมี
เช่น อาชีพแม่บ้านต้องสัมผัสกับกรดด่าง สารเคมีในผงซักฟอกและน้ำยาทำความสะอาดทุกวัน อาชีพช่างทำผม บุคลากรทางการแพทย์ ช่างซ่อมเครื่องยนต์ ต้องล้างมือบ่อยหรือสัมผัสสารเคมีต่อเนื่องอาชีพเหล่านี้มีความเสี่ยงสูงที่ผิวหนังจะถูกทำลายจากสารเคมี ส่วนใหญ่พบอาการมือแห้งแตก บางรายมีอาการคันหรือผื่นแพ้ร่วมด้วย อาชีพในกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น ปูนซีเมนต์ เครื่องหนัง ผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ โลหะ พลาสเตอร์ยากาว ที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้เป็นประจำก็พบอาการผื่นคันเช่นกัน ส่วนใหญ่ปรากฏหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้อย่างน้อย 2 สัปดาห์และหากยังคงสัมผัสกับสารชนิดเดิมอาการจะรุนแรงขึ้น โดยเกิดอาการอย่างรวดเร็วภายหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ 2 – 3 ชั่วโมง
การหลีกเลี่ยงสารก่อความระคายเคือง เป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการดูแลรักษาผู้ป่วย จึงควรหยุดพักหรือเปลี่ยนหน้าที่ ไปอยู่ในส่วนที่ไม่ต้องสัมผัสสารจนกว่าผื่นจะหายดี ทั้งนี้ควรสวมถุงมือทุกครั้งเพื่อช่วยป้องกันสารเคมีและสารก่อภูมิแพ้สัมผัสผิวหนัง
VITAMIN GUIDE
วิตามินอี มีส่วนช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวด้านต่างๆ เช่น ช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ลดอาการผื่นแพ้ป้องกันรังสียูวีจากแสงแดด ช่วยลดรอยแผลเป็น
วารสาร International Journal of Dermatology ศึกษาพบว่า วิตามินอีมีคุณสมบัติช่วยบรรเทาโรคผื่นภูมิแพ้ผิวหนัง โดยพบว่า กลุ่มที่กินวิตามินอีเสริมวันละ 400 ไอยู (268 มิลลิกรัม) นาน 8 เดือน มีอาการผื่นภูมิแพ้ดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับการเสริมวิตามินอี
นอกจากนี้มีรายงานจากวารสาร The Journal of Investigative Dermatology พบว่าหากกินวิตามินอีร่วมกับวิตามินซีซึ่งอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถป้องกันผิวจากรังสียูวี สาเหตุที่ทำให้ผิวไหม้แดดและผิวแก่ได้อีกด้วย
วิตามินอีพบในอาหารหลายชนิด เช่น น้ำมันพืชต่าง ๆ ธัญพืช อะโวคาโด ข้าวโพด ถั่ว และผักใบเขียว แนะนำให้กินอาหารหลากหลาย และกินอาหารที่มีวิตามินอีสูงร่วมกับอาหารที่มีส่วนประกอบของน้ำมันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูดซึม
รู้จักหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง กินอาหารและวิตามินอย่างเหมาะสม รวมถึงออกกำลังกายสม่ำเสมอ แม้งานหนักก็ไม่หวั่น สุขภาพแข็งแรงไปด้วยกันค่ะ
จาก คอลัมน์เรื่องพิเศษ นิตยสารชีวจิต ฉบับ 444
บทความน่าสนใจอื่นๆ
ชีวจิตแนะนำวิธีเลือกกินวิตามินสำหรับผู้สูงวัย
วิธีกินวิตามินลดความอ้วนบอกลาไขมันหน้าท้อง
4 วิตามินแก้หวัดเพิ่มภูมิคุ้มกันรับหน้าฝน