4. ดื่มน้ำน้อยไปหรือมากเกินไป
เนื่องจากไตในส่วนของไตหยินมีน้ำเป็นองค์ประกอบหลัก การดื่มน้ำน้อยทำให้พลังงานของไตหยินซึ่งรับผิดชอบเรื่องความชุ่มชื่นของร่างกายลดลง ส่งผลให้ตัวแห้ง ผิวแห้ง ขาดน้ำหล่อเลี้ยงผิว
ในทางกลับกัน ถ้าดื่มน้ำมากเกินไป น้ำซึ่งเป็นของเย็นจะไปลดทอนพลังงานของไตหยางซึ่งทำหน้าที่ให้ความอบอุ่น และทำให้ไตหยางต้องทำงานหนักในการผลิตปัสสาวะ ไม่สามารถทำให้ปัสสาวะเข้มข้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ปัสสาวะมีปริมาณมากและใส ซึ่งใน
ระยะยาวจะทำให้ไตเสื่อมได้ ดังนั้นควรดื่มน้ำให้พอดีการดื่มน้ำน้อยกว่าวันละ 1 ลิตร ถือว่าดื่มน้ำน้อยเกินไป แต่ถ้าดื่มน้ำวันละ 4 – 5 ลิตรก็ถือว่าดื่มน้ำมากเกินไป แนะนำให้ดื่มวันละ 1.5 ลิตรถึง 2 ลิตร
5. ดื่มน้ำอื่นๆแทนน้ำเปล่า
เครื่องดื่มบางชนิดทำให้เกิดการสูญเสียน้ำออกจากร่างกาย (dehydrate) เช่น ชา กาแฟ โคลา เนื่องจากมีกาเฟอีน ทำให้เกิดการขับปัสสาวะและทำให้ตัวแห้ง พฤติกรรมนี้ทำให้ไตหยินเสื่อมได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการดื่มชาธาตุร้อน ซึ่งได้แก่ชาที่เก็บมาแล้วตากแห้ง แล้วนำเข้าไปหมักต่อ เพราะวิธีการดังกล่าวจะทำให้ชาเปลี่ยนสภาพจากอาหารธาตุเย็นเป็นอาหารธาตุร้อน ชาธาตุร้อน เช่น ชาดำของรัสเซีย ชาอู่หลงที่ชงเข้มจัด
ชาที่ดื่มได้โดยไม่มีผลกระทบต่อไตคือ ชาเขียว เพราะเป็นชาที่เก็บมาแล้วตากแห้งเท่านั้น ไม่มีการหมัก อย่างไรก็ตาม ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ
6. ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นตัวเสริมความร้อนในร่างกายทำให้การไหลเวียนเร็วขึ้น ทว่าทำให้ไตหยินอ่อนพลัง จึงทำให้ผิวแห้ง ในรายของผู้หญิงอาจทำให้เลือดออกมากเวลามีประจำเดือนและทำให้ซีดง่าย
7. การกินยาบางชนิดนานๆ
การกินยาที่มีฤทธิ์เย็นนานๆ ไตหยางจะอ่อนพลัง เช่น ยาลดความดันบางกลุ่ม ซึ่งมักมีคำเตือนเกี่ยวกับการทำให้สมรรถภาพทางเพศลดลง ซึ่งสัมพันธ์กับสุขภาพของไตที่เสื่อมลงนั่นเอง
กล่าวคือ ในทางแพทย์แผนจีนอธิบายว่า ความดันโลหิตสูงเกิดจากพลังหยางในร่างกายมีมาก ยาที่หมอให้ส่วนใหญ่จึงเป็นยาฤทธิ์เย็น ซึ่งมีสรรพคุณลดพลังหยาง เมื่อพลังหยางลดลงพลังเรื่องเพศจะลดลงด้วย
นอกจากนี้ การกินยาแก้ปวดกลุ่มเอ็นเสด (NSAID) ก็กระทบต่อไตเช่นกัน โดยมีฤทธิ์เสริมพลังหยางเพื่อช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี เพื่อช่วยระงับอาการปวด ยาชนิดนี้ทำให้พลังงานไตหยินลดลงได้