ดีท็อกซ์ ตามหลักจีน
มีคนไข้ถามคุณหมอส้มเกี่ยวกับเรื่อง ดีท็อกซ์ เยอะมากเหมือนกัน คุณหมอส้มก็เลยขออธิบายสั้นๆ ง่ายๆ แบบเล่าสู่กันฟังก็แล้วกันนะคะ
ดีท็อกซ์ (Detoxification) แปลตรงตัวคือ การล้างพิษ คำถามคือ พิษต่างๆ นั้นมาจากไหนกัน มาอยู่ในตัวเราได้อย่างไร ตรวจสอบได้ไหม แล้วถ้ามีแล้วจะเป็นอย่างไร ต้องทำอย่างไร ก่อโรคอะไรที่น่ากลัวไหมถ้าจะเอาพิษออกต้องทำอย่างไรบ้าง
พิษมาจากไหน
พิษมีหลายรูปแบบ แต่ที่เราพูดกันเป็นประจำคือ สารพิษ เช่น สารหนู โลหะหนัก เช่น สารปรอท ตะกั่ว แคดเมียม สเตนเลส เป็นต้น ซึ่งไม่ควรมีในร่างกาย หากมีและสะสมมากเกินไป จะค่อยๆ ก่อโรคเรื้อรังต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่น มีผลงานวิจัยการผ่าตัดสมองคนไข้ที่เป็นโรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) หรือโรคความจำเสื่อมที่ควรจะเกิดตามอายุขัย พบว่ามีปริมาณสเตนเลสในสมองมากกว่าคนปกติหลายเท่า
สเตนเลสเหล่านี้เกิดจากการสะสมในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอยู่ในกล้ามเนื้อ ระบบประสาท และเนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ จนเกินปริมาณที่ร่างกายจะทนได้ จึงก่อให้เกิดโรคต่างๆ ตามมา และมักจะเป็นโรคเรื้อรังที่ทางการแพทย์แผนปัจจุบันยังไม่สามารถบอกได้ชัดว่าเกิดจากอะไร
ปกติแล้วร่างกายของคนเราสามารถขับสารพิษและโลหะหนักได้เองแต่ก็มีขีดจำกัดว่าจะกำจัดได้ขนาดไหน วันละเท่าไร ตามหลักการแล้วร่างกายกำจัดของเสียทุกวัน หากเราไม่นำของเสียหรือโลหะหนักเข้าสู่ร่างกายใหม่ ร่างกายก็จะค่อยๆ กำจัดของเสียที่ค้างอยู่ออกไป แต่ด้วยมลภาวะของสิ่งแวดล้อมที่เราอยู่ ทั้งอากาศ สารเคมี ของที่ปนเปื้อนมาในอาหาร น้ำที่เราดื่มกิน และสิ่งของที่เราสัมผัส ก็ทำให้ยากต่อการไม่รับสารพิษและโลหะหนักเข้าไปใหม่
การตรวจหาสารพิษและโลหะหนักนั้น ตรวจได้ทางเลือด ซึ่งทำได้หลังจากสัมผัสหรือได้รับสารพิษและโลหะหนักในช่วงแรกหรือได้รับฉับพลันในปริมาณมาก
หากจะตรวจหาสารพิษที่ค่อยๆ ดูดซึมและสะสมในร่างกายเป็นระยะเวลานานแล้ว จะใช้การตรวจจากเส้นผม ซึ่งใกล้เคียงกับระดับสารพิษและโลหะหนักในเนื้อเยื่อมากที่สุด โดยผมคนเราจะงอกเดือนละประมาณ 1 เซนติเมตร หรือใช้วิธีตรวจการขับโลหะหนักจากปัสสาวะก็ได้ ซึ่งหากตรวจพบแสดงว่าร่างกายสะสมโลหะหนักเอาไว้ แล้วพยายามขับออกอยู่
ร่างกายกำจัดสารพิษหรือโลหะหนักได้ 3 ทางใหญ่ๆ คือทางไตในรูปปัสสาวะ ทางตับในรูปน้ำดีที่ขับมาพร้อมกับอุจจาระซึ่งน้ำดีนั้นเป็นตัวทำให้อุจจาระมีสีเหลือง ทางผิวหนังและปอดออกมาในรูปเหงื่อและลมหายใจออก