ประสบการณ์กำจัดจุด อ้วน
อ้วน ต้องกำจัดอย่างไร คุณหมอมีคำตอบค่ะ หลังจากคนไข้รายหนึ่งที่ได้รับการรักษาด้วย Body Treatment สำหรับลดกระชับสัดส่วนเดินออกไปจากแผนกผิวหนัง
พี่เล็ก – ผู้ช่วยเจ้าเนื้อของผมก็เดินมาหาและบอกว่า “อาจารย์ เวลาพี่เล็กเห็นคนไข้ที่มาปรึกษาเรื่องลดน้ำหนักหรือลดสัดส่วน พี่ไม่ค่อยกล้าเข้าไปพูดคุยหรือแนะนำอะไรเลย เพราะขนาดตัวเองยังรูปร่างอย่างนี้เลย”
พี่เล็กเป็นผู้ช่วยคนสนิทที่ปกติจะแนะนำและช่วยเหลือคนไข้ได้ดี ช่วยแบ่งเบาภาระผมได้เยอะ เพราะผมมีคนไข้จำนวนมาก อาจจะอธิบายได้ไม่ทั่วถึงทุกคนนัก ก็มีพี่เล็กนี่แหละที่พอจะให้ความรู้ความเข้าใจคนไข้เพิ่มเติม ยกเว้นกรณีคนไข้ที่มาปรึกษาเรื่องต้องการลดน้ำหนักหรือกระชับสัดส่วน เพราะคนไข้บางคนยังมีรูปร่างเล็กกว่าพี่เล็กเป็นเท่าตัว พี่เล็กจึงไม่กล้าให้ความรู้แนะนำคนไข้ในเรื่องดังกล่าวเลย
ผมบอกพี่เล็กแล้วหลายครั้งว่า “นอกจากข้อเข่าที่เป็นปัญหาโดยตรงจากน้ำหนักที่มากแล้ว โรคอ้วน อาจก่อให้เกิดปัญหาเรื่องสุขภาพโดยรวมของพี่เล็กเองเพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันสูงโรคเบาหวาน โรคหัวใจขาดเลือด มะเร็งเต้านม มะเร็งโพรงมดลูก นอนกรน และอายุสั้นด้วยนะ” ผมย้ำเสริมแรงจูงใจที่ควรต้องลดน้ำหนัก และเสริมด้วยว่า “นอกจากนี้นะ โรคอ้วนยังอาจก่อให้เกิดภาวะทางด้านจิตใจเช่น โรคเครียด โรคซึมเศร้า ได้อีกด้วย”
“ได้ๆ พรุ่งนี้พี่เล็กจะเริ่มลดน้ำหนักแล้ว” พี่เล็กพูดขึ้นมาอย่างตั้งใจ แต่เท่าที่ผมจำได้ ผมได้ยิน พี่เล็กพูดประโยคนี้มานับสิบครั้งแล้วในรอบปีนี้แต่ยังกินจุเหมือนเดิม “แล้วอาจารย์ว่าอย่างขนาด พี่เล็กนี่ควรลดให้ได้สักกี่กิโลดี”
อย่างแรกเลยต้องดูก่อนว่า พี่เล็กมีค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index หรือ BMI) เท่าไรโดยเฉลี่ยคนปกติควรมีค่าอยู่ในช่วง 18.5 – 23 ถ้าค่า BMI มากกว่า 23 แสดงว่าน้ำหนักมากเกินไปหรืออ้วนมากไป แต่ถ้าค่า BMI น้อยกว่า 18.5 แสดงว่าน้ำหนักเบาเกินไปหรือผอมเกินไปนั่นเอง ซึ่งค่า BMI คำนวณได้จากการนำน้ำหนักหน่วยเป็นกิโลกรัมหารด้วยส่วนสูงหน่วยเป็นเมตรยกกำลัง 2
พี่เล็กสูง 164 เซนติเมตร หนักประมาณ 90 กิโลกรัม ค่า BMI ของพี่เล็กจึงมีค่าเท่ากับ 90 (1.64 1.64) = 33 ซึ่งมีค่าเกินจาก 23 มาก
ถ้าพี่เล็กต้องการทราบว่าต้องลดน้ำหนักเท่าไรจึงได้น้ำหนักที่ควรจะเป็น คือ BMI = 23 ก็ใช้หลักการเดียวกัน คือ นำ 23 ไปคูณกับความสูงของพี่เล็ก คือ 1.64 ยกกำลัง 2 ซึ่งได้ผลเท่ากับ 61.8 กิโลกรัม
แต่ถ้าจะให้พี่เล็กที่หนัก 90 กิโลกรัม ลดน้ำหนักลงมาถึง 60 กิโลกรัมคงน่าจะยาก ผมจึงให้ตัวเลขเป้าหมายสำหรับพี่เล็กไป 65 กิโลกรัม ซึ่งเท่ากับว่าพี่เล็กควรลดน้ำหนักลงมาถึง 25 กิโลกรัมให้ได้
มีอีกสูตรหนึ่ง เป็นวิธีหยาบๆ เป็นเกณฑ์ตัดสินว่า “อ้วน” โดยการวัดรอบเอว โดยผู้ชายที่มีรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 102 เซนติเมตรหรือ 40 นิ้ว และผู้หญิงที่มีรอบเอวมากกว่าหรือเท่ากับ 88 เซนติเมตรหรือ 35 นิ้ว จะถือว่าอ้วนที่เขาใช้เกณฑ์นี้เพราะถ้าคนที่มีรอบเอวมากกว่านี้จะเพิ่มอัตราเสี่ยงของโรคต่างๆ มากขึ้น ซึ่งพบว่า ไขมันที่พอกพูนที่ช่วงท้องสัมพันธ์กับการเกิดอัตราเสี่ยงของโรคมากที่สุดเมื่อเทียบกับไขมันที่ส่วนอื่นๆ สำหรับรอบเอวพี่เล็กผมไม่ทราบไม่กล้าวัด และคิดว่าถ้าวัดมาก็น่าจะเกินเกณฑ์แน่ๆ
“โห หมายความว่าพี่เล็กจะต้องลดน้ำหนักลง 25 กิโลกรัมเลยเหรอ อาจารย์” พี่เล็กร้องเสียงหลงแล้วพูดอย่างท้อแท้ว่า “จะทำได้ยังไง ไม่มีทางหรอก”
“ที่จะทำไม่ได้ก็เป็นเพราะพี่เล็กพูดแบบนี้แหละ” ผมบอก “ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ อะไรก็ไม่มีทางสำเร็จ พี่เล็กต้องบอกกับตัวเองและคนอื่นสิว่าต้องทำได้
“25 กิโล ฟังดูเยอะมากถ้าจะต้องลดน้ำหนัก” ผมกล่าวต่อ“แต่ถ้าผมบอกว่า ผมให้เวลาพี่เล็ก 6 เดือนล่ะ ก็เท่ากับว่าพี่เล็กต้องลดน้ำหนัก เดือนละประมาณ 4 กิโล หรือถ้าเทียบเป็นสัปดาห์ ก็แค่สัปดาห์ละ 1 กิโลกรัมเอง พอมองแบบนี้พี่เล็กรู้สึกว่าง่ายขึ้นมั้ยล่ะ”
ถัดมาอีก 2 สัปดาห์ ระหว่างพักกลางวันผมเห็นพี่เล็กกำลังซื้อข้าวขาหมู ผมจึงเข้าไปทักว่า “พี่เล็ก ไหนว่าจะลดน้ำหนักแล้วทำไมทานอาหารแบบนี้”
“แล้วจะให้พี่เล็กทำยังไงล่ะ ก็ชอบกินของแบบนี้นี่” พี่เล็กตอบ
แล้ววันนั้นผมก็วางแผนลดน้ำหนักสำหรับพี่เล็ก พี่เล็กมีพฤติกรรมทุกอย่างที่เป็นศัตรูกับความผอม ทั้งกินจุ กินอาหารมันๆ หวานๆ นมเนย ของทอด กินของหวานระหว่างมื้อบ่อยๆ ชอบกินอาหารมื้อดึก ไม่ออกกำลังกาย และมีความเครียดเกินความเป็นจริง
“พี่เล็กต้องเน้นทานอาหารมื้อเช้า และอาหารมื้อเย็นควรลดลงกว่าที่เป็นอยู่ อาหารมื้อเย็นควรทานผักหรือผลไม้ที่ไม่หวาน และไม่ควรทานหลังหกโมง” ผมเน้นเรื่องกินเป็นหลัก
“ท่าจะทำได้ยากนะ อาจารย์ พี่คงต้องพึ่งยาลดความอ้วนแล้วละ” พี่เล็กทำเสียงอ่อนใจอีก
“ผมไม่แนะนำเลยนะ ยาลดความอ้วนทุกตัวมีผลข้างเคียงบางตัวจะกระตุ้นประสาท ทำให้เกิดอาการใจสั่น เกิดอาการเครียด หงุดหงิด นอนไม่หลับ เห็นภาพหลอน ท้องผูกและอาจเกิดอาการติดยาได้ หรือถ้าหยุดยาไปแล้ว พี่เล็กอาจมีน้ำหนักเด้งขึ้นมามากกว่าเดิมอีก” ผมแนะและกล่าวเพิ่มว่า
“แต่ก็เป็นการที่แก้ปลายเหตุ พี่เล็กจะพึ่งยานี้ไปตลอดก็คงไม่ได้ ราคายาก็แพงพอควรและอาจมีผลข้างเคียงบ้างเรื่องท้องเสียและถ่ายเป็นไขมัน ผมว่าพี่เล็กต้องมีกำลังใจที่จะเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงเลย จะเป็นการดีที่สุด”
การที่เราจะลดน้ำหนักได้นอกจากจะลดการนำพลังงานเข้าสู่ร่างกาย คือลดการกินที่ผิดวิธีแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่พี่เล็กต้องทำควบคู่ด้วยคือการใช้พลังงาน ซึ่งก็คือการออกกำลังกายนั่นเอง
แล้วพี่เล็กก็พูดอย่างท้อใจ “พี่คงทำไม่ได้ละ พี่เล็กหักห้ามใจเรื่องกินได้ยากมากและรู้สึกเหนื่อยล้าที่จะออกกำลังกายอีกด้วย”
ผมพูดให้กำลังใจพี่เล็กและแนะเคล็ดเล็กน้อยที่ทำให้พี่เล็กมีแรงใจกระตุ้นตัวเองได้ “พี่เล็กอาจใช้วิธีเพิ่มกำลังใจให้ตัวเอง เช่น ถ้าทำได้อย่างที่ตั้งใจ หรืออาทิตย์นี้ลดได้ตามเป้าหมาย อาจให้รางวัลกับตัวเอง เช่น ไปดูหนัง เป็นต้น”
“ได้ๆ เดี๋ยวพี่จะเริ่มต้นลดน้ำหนักพรุ่งนี้เลย”
จาก คอลัมน์คลินิกรัก(ษ์)ผิว นิตยสารชีวจิต ฉบับ 259
บทความน่าสนใจอื่นๆ
ฤทธิ์ยาลดอ้วน ประสบการณ์ตรง 15 ปีที่ใช้