Bell’s Palsy ทำ อัมพาตครึ่งหน้า โรคร้ายที่ใครๆ ก็เป็นได้
สาวช็อกตื่นเช้ามาหน้าเบี้ยว เป็นอัมพาต คุณน้ำมนต์ สาวสวยวัย 28 ปี สุขภาพแข็งแรงต้องตกใจกับอาการ อัมพาตครึ่งหน้า จนทำให้หน้าเบี้ยวเสียรูป
คุณน้ำมนต์เปิดเผยผ่านโชเชี่ยลมีเดียว่า เธอตื่นนอนขึ้นมาพบกับอาการที่ไม่สามารถบังคับหน้าได้ พูดไม่ชัด แปรงฟันแล้วน้ำไหลออกจากปาก ไม่สามารถกระพริบตาได้ คุณหมอบอกว่านี่คือโรค Bell’s Palsy เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ในทุกคน และมักเกิดในผู้ที่มีความเครียด อาการจะแย่ลงใน 10 วัน หลังจากนั้นจะค่อยๆ ดีขึ้น การรักษาต้องได้รับยาสเตียรอยด์ ควบคู่ไปกับการทำกายภาพ ซึ่งอาจหายเป็นปกติหรือไม่ก็ได้ รวมถึงระยะเวลารักษาที่อาจใช้เวลานานตั้งแต่ 2 สัปดาห์ ไปจนถึง 6 เดือน
โรค Bell’s Palsy นี้เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ทำให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงไป หรือกลายเป็นอัมพาตครึ่งหน้า อย่างที่คุณน้ำมนต์เป็น
ในปัจจุบันแพทย์ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดของการเกิดโรคนี้แต่ เนื่องจากเกิดขึ้นได้หลายสาเหตุทั้ง อุบัติเหตุ การมีเนื้องอก แต่สมมุติฐานที่น่าเชื่อถือคือ การติดเชื้อไวรัสที่แฝงอยู่ในร่างกาย เช่นเชื้อเริม เชื้ออีสุกอีใส
โดยอาการของโรคคือ มีอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง ใบหน้าชาไม่สามารถยักคิ้วได้ ตาปิดไม่สนิท หนังตา และมุมปากตก รับประทานน้ำแล้วไหลออกมาจากมุมปาก บางรายอาจมีอาการปวดบริเวณหลังใบหู มีอาการระคายเคืองที่ตา รู้สึกตาแห้ง หรือมีน้ำตาไหล และรับรสชาติได้น้อยลง
สำหรับการรักษานั้น เรียกได้ว่าเป็นการรักษาตามอาการ คือ
- ใช้ยาสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบของเส้นประสาท และควรใช้ทันทีภายใน 72 ชั่วโมงนับจากเริ่มมีอาการ โดยจะต้องกินยาต่อเนื่อง 2 อาทิตย์ และติดตามการใช้ยาโดยแพทย์อย่างใกล้ชิด
- ใช้ยาฆ่าเชื้อไวรัส สำหรับกรณีที่เกิดอาการเนื่องจากเชื้อไวรัสแฝงตัวอยู่
- กายภาพบำบัด ออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้า และใช้ความร้อนรวมถึงการกระตุ้นไฟฟ้า
*แพทย์ทางเลือก หลังการใช้ยาสเตียรอยด์แล้ว ผู้ป่วยหลายคนใช้วิธีแพทย์ทางเลือกเพื่อรักษาอาการเช่นฝังเข็ม แต่ในทางการแพทย์แล้วยังไม่มีผลวิจัยที่ชี้ว่าการฝังเข็มลักจะมีประโยชน์หรือว่าไม่มีประโยชน์กันแน่
แม้ในปัจจุบันจะเป็นโรคที่ยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่หากเกิดขึ้นเพราะไวรัสจริง ทางป้องกันแพทย์แนะนำให้ดูแลสุขภาพให้แข็งแรง สร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เพื่อไม่ให้ไวรัสที่แฝงตัวอยู่ทำให้เจ็บป่วย
นอกจากนี้แพทย์ยังกล่าวอีกว่า สำหรับกลุ่มเสี่ยงที่ควรระวังตัวเองก็คือ
- หญิงตั้งครรถ์ ซึ่งเสี่ยงมากกว่าปกติถึง 3 เท่า โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้าย และหลังคลอดบุตร
- ผู้ที่มีโรคประจำตัวเรื้อรัง เช่นเบาหวาน ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น
- ผู้เคยกระทบกระเทือนทางสมอง
- ผู้ที่มีความเครียดหรือพักผ่อนน้อย
ทั้งนี้โรค Bell’s Palsy เป็นโรคที่รักษาให้หายได้ หากว่ามาถึงมือหมอได้ไว และถ้ายิ่งปล่อยไว้นานโอกาสที่จะกลับมาเป็นปกติยิ่งมีน้อยลง ดังนั้นจึงควรสังเกตความผิดปกติของตัวเองอยู่เสมอๆ นะคะ
ข้อมูล เพจอีจัน, รามาแชนแนล, โรงพยาบาลเพชรเวช
เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ
หญิงสาวถูก หมากัด แก้มแหว่ง หมอเอาเนื้อง่ามขาแปะ “ขนเพชรขึ้นหน้า”