ดอกขจร ผักพื้นบ้านริมรั้ว
ดอกขจร หรือ ดอกสลิด (Cowslip creeper) ความจริงนั้นเป็นคำสุภาพที่ใช้เรียก ขจร ว่า สลิด ซึ่งเป็นที่มาของอีกชื่อหนึ่งของดอกขจร คนไทยแต่โบราณมักนิยมนำมาปรุงอาหารได้หลายชนิด เช่น ใส่ในแกงจืด แกงส้มดอกขจร ผักลวกจิ้มน้ำพริก ดอกขจรผัดน้ำมันหอย หรือ เมนูสุขภาพอย่าง ข้าวต้มดอกขจร เป็นต้น เนื่องคนโบราณนั้นชอบรับประทานผักมาก จะหาเก็บผักตามริมรั้ว มาลวกกินแกล้มกับน้ำพริก ทั้งยังมีประโยชน์มากมายแฝงอยู่ ยิ่งเป็นยอดอ่อนของดอกแล้วจะเป็นแหล่งรวมสารหารดีๆมากมาย มาดูกันเลย…
สรรพคุณของดอกขจร
เป็นพืชมีประโยชน์มาก ทั้งสรรพคุณทางยา ปรุงอาหารแสนอร่อยได้หลากเมนู เป็นพืชสุมนไพรในโหมดผักที่กลับมายอดฮิตในปัจจุบัน ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มคนรักสุขภาพ
- ช่วยบำรุงโลหิต และช่วยบำรุงหัวใจ
- ดอกและยอดใบอ่อนมีวิตามินสูง การรับประทานเป็นประจำจะช่วยบำรุงสายตาได้เป็นอย่างดี
- ช่วยรักษาหวัดที่เกิดจากการตากลมหรือตากอากาศเย็น
- ช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน
- ช่วยขับเสมหะ แก้เสมหะและโลหิต
- ดอกมีรสเย็นขมและหอม ช่วยบำรุงปอด
- ช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยในการขับถ่าย
- ช่วยบำรุงฮอร์โมนของสตรี
- ช่วยบำรุงตับและไต
ดอกขจรกับอาหารไทย
คนโบราณมักจะนำดอกขจรปรุงเป็นขนม คือนำมานึ่งให้สุกผสมกับมะพร้าวอ่อน หรือมะพร้าวแก่ขูดฝอยปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย งา เกลือเล็กน้อย เป็นขนมที่เรียกว่า “ขนมดอกขจร” ในปัจจุบันหาซื้อรับประทานได้ยาก
ยอดอ่อน ผลอ่อน ดอก ใช้กินเป็นผักสด หรือนำมาต้ม ลวกให้สุกใช้จิ้มกับน้ำพริก ส่วนดอกนำไปปรุงอาหารได้อีกหลายเมนู เช่น แกงส้มดอกขจร แกงจืดดอกขจร แกงเลียง ขจรผัดไข่ ขจรชุบแป้งทอด ยำ ยำดอกขจร ข้าวต้มดอกขจร ผัดน้ำมันหอย ผัดกับปลาหมึก เป็นต้น
คุณค่าทางอาหารของดอกขจร 100กรัม จะประกอบไปด้วย
- พลังงานประมาณ 70 กิโลแคลอรี่
- เส้นใย 2กรัม
- เหล็ก 1มิลลิกรัม
- แคลเซียม 70มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 90มิลลิกรัม
- วิตามินเอ 3,000IU
- วิตามินบี1 0.1ใิลิกรัม
- วิตามินซี 5มิลลิกรัม
- ไนอะซิน 1.5มิลลิกรัม
