คิมหันต์หรรษา จานอร่อยดับไฟร้อนภายใน

โดย อ.วันทนี ธัญญา เจตนธรรมจักร

สวัสดีค่ะคุณแม่บ้านและท่านที่รักสุขภาพทุกท่าน  หลายปีมานี้ฤดูกาลบ้านเราเปลี่ยนแปลงไปมาก  บางครั้งในหนึ่งวันมีถึงสามฤดู  ทั้งร้อนจัด อากาศเย็นมากในช่วงกลางคืน  หรือมีฝนตกร่วมด้วยทั้งที่ไม่ใช่ฤดูฝน

อากาศที่แปรปรวนไปนี้เอง เป็นเหตุให้หลายคนเกิดการเจ็บป่วย  เป็นไข้  เป็นหวัด  ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ทุกคนจึงต้องเริ่มใส่ใจในการดูแลสุขภาพให้มากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย  การพักผ่อน  การทำงานที่เหมาะสมโดยไม่เบียดบังเวลาพักผ่อน  และการรับประทานอาหารที่ดีและส่งเสริมสุขภาพตามภาวะที่เหมาะ และตามฤดูกาล เพื่อเป็นการช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายและเป็นการป้องกันการเจ็บป่วยด้วย

สำหรับฤดูร้อนเช่นเดือนนี้ เป็นช่วงที่สิ่งแวดล้อมภายนอกมีธาตุไฟสูง ส่งผลให้ธาตุไฟในร่างกายสูงขึ้นตามไปด้วย จึงควรรับประทานอาหารรสจืด รสเย็นหรือรสขมเล็กน้อย และดื่มน้ำให้มาก เพื่อช่วยปรับสมดุลของระบบธาตุในร่างกาย ให้ปกติ  น้ำดื่มที่ช่วยปรับสมดุลในฤดูนี้ได้ดีเช่น  น้ำรากบัว  น้ำใบเตย  น้ำว่านกาบหอย ก็ได้  หรือจะดื่ม“น้ำขม” (ที่มีขายย่านบางรัก) ก็ได้เช่นกัน  เพราะอย่างหลังนี้นอกจะจะช่วยปรับสมดุลแล้ว ยังลดภาวะอารมณ์หงุดหงิดได้อีกด้วย  ส่วนผักและผลไม้ที่แนะนำให้รับประทานก็คือ แตงชนิดต่างๆ เพราะช่วยระงับอาการร้อนภายใน  และป้องกันอาการหวัดแดดได้ดี

สำหรับในฉบับนี้ ดิฉันขอนำเสนออาหารประเภทยำ อย่าง คิมหันต์หรรษา ที่นำพืชผัก ผลไม้ที่ช่วยปรับอุณหภูมิในร่างกายให้เย็นและช่วยปรับสมดุลในช่วงที่มีอากาศร้อนอย่างนี้ ฝากไว้ให้กับคุณปรับสมดุลกันค่ะ

คิมหันต์หรรษา

ส่วนผสม (สำหรับ 2 ที่)

เตรียม 20 นาที ปรุง 5 นาที

เนื้อกุ้งทะเลสดหั่นเต๋า                                                     60           กรัม

เนื้อปลาเก๋าหั่นเต๋า                                                         60           กรัม

แตงร้านหรือแตงกวาที่ไส้แข็งหรือแตงญี่ปุ่น(หั่นเป็นเส้น)                100         กรัม

แคนตาลูปหั่นเต๋า                                                           60          กรัม

มันแกวหั่นเป็นเส้น                                                          30          กรัม

ขึ้นฉ่ายหั่นเป็นเส้น                                                          30           กรัม

มะเขือเทศราชินีผ่าครึ่ง                                                     10           ลูก

น้ำเปล่าสำหรับลวกส่วนผสม

เกลือเล็กน้อย

ส่วนผสมน้ำยำ

น้ำมันงา                                                                       2             ช้อนโต๊ะ

น้ำพริกเผา                                                                     1              ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา                                                                         2               ช้อนชา

ซีอิ้วขาว                                                                       2               ช้อนชา

น้ำมะนาว                                                                      2               ช้อนโต๊ะ

น้ำตาลปี๊บ                                                                     1              ช้อนโต๊ะ

พริกขี้หนูซอย                                                                 2               ช้อนชา

งาขาวคั่ว                                                                      2               ช้อนชา

วิธีทำ

1. ผสมน้ำเปล่าและเกลือลงในหม้อยกขึ้นตั้งไฟจนเดือดแล้ว ใส่ปลาและกุ้งลงไปลวกพอสุก ตักขึ้นพักไว้
2. ทำน้ำยำ โดยผสมน้ำพริกเผา น้ำปลา  ซีอิ้วขาว  น้ำตาลปี๊บ  น้ำมันงา  คนให้ละลายเข้ากัน  ใส่พริกขี้หนูซอย  น้ำมะนาวคนจนเข้ากันดี
3. นำกุ้งและปลาที่ลวกแล้วใส่ลงคลุก จากนั้นใส่แตง  มันแกว  แคนตาลูป  ขึ้นฉ่ายมะเขือเทศลงคลุกเบาๆ  แล้วจึงโรยงา เคล้าส่วนผสมเบา ๆ อีกครั้ง ตักใส่จานเสิร์ฟและควรรับประทานทันที

Tip  แช่แตงกวาและมันแกวที่หั่นเป็นเส้นฝอยแล้ว ในน้ำเย็นจัดหรือวางบนก้อนน้ำแข็ง จะช่วยให้กรอบน่ารับประทาน

ล้อมกรอบ

แตงกวา          ดับกระหาย  ระงับความร้อน  ช่วยลดความร้อนที่ปอดและกระเพาะอาหาร  ขับปัสสาวะ

ขึ้นฉ่าย             ควบคุมความดัน  ช่วยลดคลอเลสเตอรอล  ช่วยลดความร้อน  บรรเทาอาการเวียนศีรษะ

แคนตาลูป     ทำให้สดชื่น  แก้อ่อนล้า  ช่วยการย่อยและการขับถ่าย

มะเขือเทศ      แก้กระหาย  แก้อาการเบื่ออาหาร  ช่วยย่อย  แก้เลือดออกตามไรฟัน

มันแกว          บำรุงกำลัง  ทำให้ชุ่มชื่น  ช่วยในการย่อยอาหาร

เอกสารอ้างอิง

ข้าวต้มยาจีน  โดย  สุภาณี  ปิยพสุนทรา

อาหารรักษาโรค  โดย  จำลอง  พิศนาคะ

อาหารเครื่องยาจีน  โดย  รีดเดอร์  ไดเจส

สารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน  โดย  วิทยา  บุญวรพัฒน์

ตำรับยาจีนที่ใช้บ่อยในประเทศไทย  โดย  กระทรวงสาธารณสุข