ภาษาบาลี หรือ Pali เป็นภาษาที่เก่าแก่ภาษาหนึ่งในตระกูลอินเดีย-ยุโรป (อินโด-ยูโรเปียน) โดยนักปราชญ์ทางภาษาและนักการศาสนาให้ความเห็นว่า คือ ภาษาท้องถิ่นของชาวมคธ ในชมพูทวีป
คำว่า “บาลี” มีความหมายว่า “ภาษาอันรักษาไว้ซึ่งพุทธพจน์” เนื่องจากเป็นภาษาที่ใช้ทรงจำและจารึกรักษาพุทธพจน์มาแต่ดั้งเดิม โดยใช้บันทึกเป็นคัมภีร์ในพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท จึงนับว่ามีความสำคัญมาก แม้แต่เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ยังเคยประทานพระโอวาทเมื่อครั้งเสด็จไปวัดอาวุธวิกสิตาราม เขตบางพลัด กรุงเทพมหานคร ในการที่คณะธรรมยุต แสดงมุทิตาต่อพระภิกษุสามเณรผู้สอบไล่ได้เปรียญธรรม ๙ ประโยค ประจำพุทธศักราช ๒๕๖๑ ความว่า
“ความเข้าใจกระจ่างใน ‘พระไตรปิฎก’ ที่โบราณาจารย์เรียกว่า ‘พระบาลี’ นั้นคือการรักษาพระบวรพุทธศาสนาให้ดำรงอยู่คู่โลก
“สาเหตุที่บูรพาจารย์ท่านใช้คำว่าพระบาลี เสมอแทนด้วยคำว่าพระไตรปิฎก ก็เพราะภาษาบาลีคือภาษาที่รักษาอรรถธรรมของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้ได้อย่างไม่แปรผันบิดเบือน ความรู้พระไตรปิฎกฉบับภาษาอื่นย่อมมีประโยชน์ก็จริงอยู่ แต่ก็เสมือนเรียนรู้เพียงข้อมูลระดับทุติยภูมิ ซึ่งถูกแปลผ่านบริบทถ้อยคำและวัฒนธรรมทางภาษาออกมาแล้วชั้นหนึ่ง จึงเป็นหน้าที่ของพระภิกษุสามเณรที่ตั้งใจบวชเรียนทุกรูป ที่จะต้องทำความเข้าใจพระไตรปิฎกภาษาบาลี อันเป็นข้อมูลระดับปฐมภูมิด้วยตนเองให้ได้ การเล่าเรียนพระปริยัติธรรมแผนกบาลี จึงอยู่ในพระบรมราชูปถัมภ์ มีความสำคัญคู่สังคมไทยมานับแต่โบราณกาลตราบจนปัจจุบัน”
จริงอยู่ว่าทุกวันนี้ยังไม่มีบทบัญญัติว่าพุทธศานิกชนทั้งหลายต้องลุกขึ้นมาศึกษาภาษาบาลีเหมือนพระสงฆ์ ทว่าสำหรับผู้ที่ต้องการลึกซึ้งใน ‘ธรรม’ ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
การรู้หลักการอ่าน ภาษาบาลี ให้คล่อง ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย
แต่ก่อนจะอ่านให้คล่อง ต้องรู้ก่อนว่าภาษาบาลีมีตัวอักษรทั้งสิ้น 41 ตัว โดยแบ่งเป็น
1.สระ 8 ตัว ได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ
ให้สังเกตว่าเฉพาะสระ ‘อะ’ จะไม่ปรากฏรูปร่าง ส่วนอีก 7 ตัว รูปสระจะยังคงตัว และสระทุกตัว นิยมอ่านออกเสียงเหมือนในภาษาไทย
2. พยัญชนะ ซึ่งในภาษาบาลีมีทั้งสิ้น 33 ตัว ได้แก่
ก ข ค ฆ ง เรียกว่า วรรค ก
จ ฉ ช ฌ ญ เรียกว่า วรรค จ
ฏ ฐ ฑ ฒ ณ เรียกว่า วรรค ฏ
ต ถ ท ธ น เรียกว่า วรรค ต
ป ผ พ ภ ม เรียกว่า วรรค ป
พยัญชนะเศษวรรค เรียก ‘อวรรค’ มี 8 ตัว คือ ย ร ล ว ส ห ฬ (เพราะมีเสียงเกิดจากฐานต่างกันไป )
ทั้งนี้เมื่อนำมาเขียนถ่ายทอดเป็นภาษาไทยแล้ว จะมีลักษณะที่ควรสังเกตประกอบการอ่าน ดังนี้
1. ตัวอักษรทุกตัวที่ไม่มีเครื่องหมายใดอยู่บนหรือล่าง และไม่มีสระใดๆ กำกับไว้ ให้อ่านอักษรนั้นเป็นเสียง “อะ” ทุกตัว เช่น
ยถาวาที ตถาการี อ่านว่า ยะ-ถา-วา-ที ตะ-ถา-วา-ที
อรหโต อ่านว่า อะ-ระ-หะ-โต
ภควา อ่านว่า ภะ-คะ-วา
นมามิ อ่านว่า นะ-มา-มิ
โลกวิทู อ่านว่า โล-กะ-วิ-ทู
2. ตัวอักษรใดมีเครื่องหมายพินทุ ( ฺ ) อยู่ข้างใต้ แสดงว่าอักษรนั้นเป็นตัวสะกดของอักษรที่อยู่ข้างหน้า เมื่อผสมกันแล้วให้อ่านเหมือนเสียง อะ+(ตัวสะกด) นั้น เช่น
ขนฺติโก (ขะ+น = ขัน) อ่านว่า ขันติโก
สมฺมา (สะ+ม = สัม) อ่านว่า สัม-มา
สงฺโฆ (สะ+ง = สัง) อ่านว่า สัง-โฆ
ยกเว้นในกรณีที่พยัญชนะตัวหน้ามีเครื่องหมายสระกำกับอยู่แล้ว ให้อ่านรวมกันตามตัวสะกดนั้น เช่น
พุทฺโธ อ่านว่า พุท-โธ
พุทฺธสฺส อ่านว่า พุท-ธัส-สะ
สนฺทิฏฺฐิโย อ่านว่า สัน-ทิฏ-ฐิ-โย
ปาหุเนยฺโย อ่านว่า ปา-หุ-เนย-โย
3. อักษรใดเป็นตัวนำแต่มีเครื่องหมายพินทุ ( ฺ ) อยู่ข้างใต้ด้วย ให้อ่านออกเสียง “อะ” ของอักษรนั้นเพียงครึ่งเสียงควบไปกับอักษรตัวตาม เช่น
สฺวากฺขาโต อ่านว่า สะหวาก-ขา-โต
ตสฺมา อ่านว่า ตะ-สมา
กตฺวา อ่านว่า กะ – ตวา
4. อักษรใดมีเครื่องหมายนฤคหิต ( ํ ) อยู่ข้างบนตัวอักษร ให้อ่านเหมือนอักษรนั้นมีไม้หันอากาศและสะกดด้วยตัว “ง” เช่น
อรหํ อ่านว่า อะ-ระ-หัง
สงฺฆํ อ่านว่า สัง-ฆัง
ธมฺมํ อ่านว่า ธัม-มัง
สรณํ อ่านว่า สะ-ระ-นัง
อญฺญํ อ่านว่า อัญ-ญัง
แต่ถ้าตัวอักษรนั้นมีทั้งเครื่องหมาย ( ํ ) อยู่ข้างบนและมีสระอื่นกำกับอยู่ด้วย ก็ให้อ่านออกเสียงตามสระที่กำกับ + ง (ตัวสะกด) เช่น
พาหุํํํํ ํ อ่านว่า พา-หุง
วิสุํ อ่านว่า วิ-สุง
เสตุํ อ่านว่า เส-ตุง
จริงอยู่ว่าทุกวันนี้ หนังสือสวดมนต์ หรือบทสวดมนต์ตามวัดมักถอดคำอ่านออกเสียงแบบเด่นชัด แต่การรู้หลักการอ่านที่ถูกต้องก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น เพราะไม่แน่เราอาจจะไปเจอบทสวดที่ยังไม่ได้รับการถอดคำ ถึงตอนนั้นจะได้ไม่นก หรือเป็นไก่ได้พลอยยังไงละ
ท้ายนี้หากมีใครสงสัยว่า ทำไมเราต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลีด้วย? พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้เคยฝากคำตอบไว้กับ Secret ว่า
“ที่เราต้องสวดมนต์เป็นภาษาบาลี ก็เพราะมนต์นั้นคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งทรงสั่งสอนด้วยภาษาบาลี เมื่อเรานำเอามนต์ซึ่งจำไว้ด้วยภาษาบาลีนั้นมาสวด ก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่เราจะต้องสวดเป็นภาษาบาลีตามรูปแบบเดิม เหมือนเรานำเอาภาษาอังกฤษมาใช้ในภาษาไทยกับคนไทย เราก็ยังคงต้องพูดภาษาอังกฤษเหมือนกับภาษาแม่ทุกประการ”
ที่มาข้อมูล : dhamma4today.blogspot.com/2013/03/blog-post_16.html
ภาพ : Secret