ปฏิบัติธรรมแบบสบายๆ

ปฏิบัติธรรมแบบสบายๆ สไตล์คนขี้เกียจ

ปฏิบัติธรรมแบบสบายๆ สไตล์คนขี้เกียจ – ก่อนอื่นต้องขอบอกว่าการปฏิบัติธรรมแบบนี้ไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง และไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่าง โดยเฉพาะสําหรับคนขยันหรือผู้ที่มีความมุ่งมั่นจริงๆ แต่เหมาะสําหรับคนขี้เกียจหรือรักความสบายที่อยากเอาดีกับเขาบ้าง ถึงจะได้ไม่เต็มร้อย แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้ทําเสียเลย
1
ฉันคิดว่าเวลาใครชวนไป “ปฏิบัติธรรม” หลายคนคงรู้สึกอึดอัด รวมถึงตัวฉันเองซึ่งเป็นพวกนอนดึกตื่นสาย เบื่อหน่ายกับการเร่งรีบทําตามตารางกิจกรรมต่าง ๆ ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่ามีประโยชน์อเนกอนันต์แค่ไหน แต่ก็ต้องปฏิเสธ เพราะนึกภาพออกว่าจะต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่ทั้งที่เพิ่งนอนได้ไม่กี่ชั่วโมง เร่งรีบออกไปสวดมนต์หรือทําสมาธิ (ซึ่งส่วนใหญ่จะได้ฌานขั้นสูงชนิดปลุกไม่ตื่น) เข้าห้องน้ําแบบด่วนจี๋จนต้องท้องผูกต่ออีกหลายวัน แล้วจบลงด้วยการเป็นนกฮูกตาค้าง เพราะถูกบังคับให้นอนในเวลาที่เคยดูละคร ดังนั้นแทนที่ฉันจะได้รับความสงบแบบชาวบ้านเขา คงได้แต่ตาหมีแพนด้า และความเหนื่อยล้าจากการเร่งรีบกลับมา
2
อย่างไรก็ตาม คนขี้เกียจใช่ว่าจะไม่รักดี ฉันจึงแสวงหาวิธีที่จะทําให้ตัวเองไม่ต้องทุกข์ทรมาน แต่ได้รับความสงบ และมีเวลาปฏิบัติมากขึ้น ไม่ใช่มัวแต่รอคิวเข้าห้องน้ําอะไรประมาณนั้น เริ่มต้นด้วยการหาสถานที่ที่เงียบสงบและปลอดภัยสําหรับการปลีกวิเวก อาจไม่ต้องห่างไกลมากนัก (เดี๋ยวหาของกินลําบาก) เพื่อนแนะนําบ้านพักผู้สูงอายุของเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งให้คนนอกเช่าได้ในราคาพอสมควร เป็นบ้านเดี่ยวชั้นเดียวหลังเล็กน่ารัก พร้อมอุปกรณ์อํานวยความสะดวกครบครัน บรรยากาศร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยมากมายและเงียบสงบจนได้ยินแต่เสียงนกร้องเพลง
3
ฉันลงมือจัดสัมภาระแบบคนไปปฏิบัติธรรมนั่นแหละ ที่เพิ่มขึ้นคือวิทยุเครื่องจิ๋วพร้อมซีดีของพระอาจารย์ที่ศรัทธา และหนังสือธรรมะที่ตั้งใจจะอ่านมานานแล้วแต่ไม่มีเวลาเสียที จากนั้นฉันก็กําหนดตารางของตัวเองว่าจะตื่นเวลา 8.00 น. (เช้าแล้วนะเนี่ย จะรีบไปทำไมนักหนา ในเมื่อฉันมีเวลาอีกทั้งวันทั้งคืน) สวดมนต์ทําวัตรเช้าตามหนังสือที่เตรียมมา เดินจงกรม ไปกินข้าวแถว ๆ นั้น กลับมาอาบน้ําเสร็จก็ทําสมาธิภาคเช้า โดยนั่งบนเก้าอี้สบ๊ายสบาย แต่ก็ไม่โงกหลับเพราะได้นอนเต็มที่ ก่อนกินข้าวเที่ยงได้อ่านหนังสือประเทืองปัญญาจนจบ ที่สําคัญ ฉันทําทุกอย่างแบบมีสติและตามดูความคิดตลอดเวลา
4
ส่วนภาคบ่ายว่าจะดูข่าว แต่พอเปิดโทรทัศน์ก็เจอพระเทศน์พอดี (เทวดาช่วยแท้ ๆ) จึงได้ฟังธรรมะดี ๆ และได้รับพรจากพระก่อนจะกรวดน้ําแล้วออกไปเทที่ใต้หูกระจงต้นใหญ่หน้าบ้านอันแสนสงบเงียบ
5
หลังจากทําสมาธิอีกรอบก็ไปเดินจงกรมข้างนอกตามทางลดเลี้ยวที่ปูด้วยอิฐหน้าบ้าน แต่ละหลังมีซุ้มดอกไม้ไทย เช่น สายหยุด​ ชมนาด การเวก ฯลฯ ส่งกลิ่นหอมชื่นใจตลอดเวลา ฉันกลับมาพร้อมด้วยน้ําเต้าหู้หอมกรุ่น แล้วทําธุระส่วนตัวแบบชิล ๆ ก่อนทําวัตรเย็น และฟังธรรมะจากเทปที่เตรียมมา เวลาหลับตาก็เหมือนกําลังนั่งอยู่ตรงหน้าพระอาจารย์ในสถานปฏิบัติธรรมเลยละ เพราะได้หลุดพ้นจากความวุ่นวายภายนอกทั้งปวง จากนั้นก็เจริญสติจนพอใจหรือง่วงแล้วค่อยนอน
6
ฉันทําตามตารางอย่างเคร่งครัดและจําเป็นต้องปิดวาจาตลอดเวลา เพราะไม่มีผู้คนในบริเวณนั้นเลย แต่แอบพูดกับเจ้าเหมียวตัวผอมที่คงกลัวฉันเหงาจึงแวะมาเยี่ยมทุกวัน ฉันจึงได้โอกาสให้อาหารทําทานไปในตัว นอกจากนั้นเช้าวันรุ่งขึ้นยังได้พบผู้สูงอายุหลายคนที่มีสภาพร่างกายแข็งแรงพอจะออกมาทํากิจกรรมร่วมกัน ฉันจึงแนะนําพยาบาลและผู้ดูแล (พูดในสิ่งที่เป็นสาระคงไม่เป็นไรมั้ง แหะ ๆ) ให้นําสิ่งที่ฉันถนัด นั่นคือการเล่านิทานไปเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม เพราะฉันเคยทดสอบกับแม่ตัวเองมาแล้วว่าการเล่านิทานมีประโยชน์ต่อผู้สูงอายุเช่นเดียวกับเด็ก ๆ เพียงแต่ต้องใช้หนังสือและเทคนิคต่างกันเท่านั้น
7
วันต่อ ๆ มาฉันจึงกลายเป็นวิทยากรสาธิตวิธีการเล่านิทาน และแนะนํากิจกรรมอื่น ๆ ให้ผู้ดูแลได้ใช้กับคุณตาคุณยายเหล่านั้น ส่วนท่านที่ป่วยหนักและต้องนอนอยู่บนเตียง ฉันเปิดซีดีเพลงบรรเลงเบา ๆ ให้ท่านฟังเพื่อผ่อนคลายความเครียด รวมถึงมีโอกาสอ่านหนังสือธรรมะสําหรับผู้ป่วยให้คุณยายที่ญาติแทบไม่เคยมาเยี่ยมฟัง นอกเหนือไปจากการบีบนวดให้คลายความเจ็บปวดทางกายและพูดคุยให้ได้คลายทุกข์ใจ อีกทั้งยังได้พูดนําทางสู่สุคติตามที่ได้รับการอบรมจากพระอาจารย์ไพศาล วิสาโล ให้คุณตาคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ป่วยระยะสุดท้ายได้รับฟัง และอาจมีส่วนทําให้ท่านจากไปอย่างสงบ
8
การปลีกวิเวกครั้งนี้จึงทําให้ฉันได้เข้าใจถึงกฎไตรลักษณ์มากขึ้น เพราะครั้งหนึ่งผู้สูงอายุเหล่านี้เคยเป็นเด็กน้อยน่ารัก แล้วฉันก็เห็นภาพตัวเองกําลังนั่งอยู่ในรถเข็น และใช้เครื่องช่วยหายใจอยู่บนเตียง วันนี้ฉันพรั่งพร้อมไปด้วยคนที่รักฉัน แต่ใครจะรู้ว่าวันหนึ่งฉันอาจต้องอยู่อย่างเดียวดายในวาระสุดท้ายของชีวิต จริงอยู่ที่ว่าการปฏิบัติธรรมสไตล์คนขี้เกียจแบบนี้คงไม่สามารถทําให้ฉันได้มรรคผลนิพพาน แต่อย่างน้อยช่วงเวลา 10 วันก็พิสูจน์ว่าฉันสามารถอยู่กับตัวเองได้อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องพูดจาเพ้อเจ้อกับใคร หรือส่งไลน์ทั้งวัน มีเวลารู้จักใจตัวเองและมีสติมากขึ้น ได้อยู่กับความสงบเงียบที่ฉันใฝ่หามานาน (โดยไม่ต้องทรมานตัวเอง) ได้ทําทานกับสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก และยังได้ช่วยให้คุณตาคุณยายผู้น่าสงสารได้รับความอบอุ่น ในเวลาซึ่งท่านต้องการเพียงใครสักคนที่จะกุมมือท่านไว้
9
การปฏิบัติแบบนี้อาจทําให้หนทางสู่ความสําเร็จของฉันยังอีกยาวไกล แต่ก็ยังดีกว่าที่จะไม่ทําเสียเลยหรือไม่เริ่มต้นเสียที และอย่างน้อยมันก็เป็นช่วงเวลาที่ทําให้ชีวิตฉันมีคุณค่ามากขึ้นจริง ๆ
10

ที่มา : นิตยสาร Secret

เรื่อง : ทิพถวิล ชาตาคม

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.