พล รัตนวิชัย

พล รัตนวิชัย พลิกชีวิตแร้นแค้นสู่ความมั่งมี

พล รัตนวิชัย พลิกชีวิตแร้นแค้นสู่ความมั่งมี – ผมเป็นเด็กกำพร้า มีความเป็นอยู่ที่ยากลำบาก จนหลายครั้งนึกน้อยใจในโชคชะตา แต่แล้ววันหนึ่งก็มีเหตุการณ์วัดใจที่พลิกชีวิตของผมไปโดยสิ้นเชิง

คุณแม่ของผมมีปัญหากับคุณพ่อ จึงหนีมาบวชเป็นแม่ชี ตั้งแต่จำความได้ผมก็เป็นเด็กวัดไปแล้ว ทุกเช้าผมต้องตามพระที่ออกบิณฑบาต โดยจูงรถเข็นที่มีหม้อและปิ่นโตเดินตามพระไปเรื่อย ๆ คุณแม่ให้ทำแบบนี้ตั้งแต่ยังไม่เข้าอนุบาล ตอนนั้นรู้สึกโกรธคุณแม่อยู่ลึก ๆ ว่าทำไมเราต้องทำแบบนี้ด้วย ทำไมลูกคนอื่นที่อยู่ในวัดบางคนไม่ต้องทำ ผมเคยถามคุณแม่ว่าทำไมต้องทำอะไรแบบนี้ คุณแม่ใช้ความเงียบเป็นคำตอบ ซึ่งเวลานั้นไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจอะไรขึ้นเลย

คุณแม่พยายามส่งผมเรียนทั้ง ๆ ที่ท่านก็ไม่ค่อยมีเงิน ท่านต้องรับจ้างขุดและล้างกระชาย หรือไม่ก็เกี่ยวข้าว ผมได้เงินไปโรงเรียนวันละ 1 บาทเท่านั้น จนกระทั่งผมเรียนประถมศึกษาปีที่ 3 คุณแม่ก็เสียชีวิต จู่ ๆ ก็มีคนที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อนมาแสดงตัวเป็นญาติ มาเก็บพระเครื่องที่คุณแม่สะสมไว้ไปหมด แล้วบอกแค่ว่าจะดูแลให้ จากนั้นผมก็ไม่เคยเห็นหน้าคนพวกนี้อีกเลย ผมพยายามทำให้ตัวเองดูเข้มแข็ง เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นมาปลอบ แต่ลึก ๆ แล้วรู้สึกเหงา เคว้งคว้าง ไม่มีที่พึ่ง เพราะปกติผมอยู่แต่กับคุณแม่ นอนกอดท่านตลอดคืน

หลังจากที่คุณแม่เสียก็มีคุณยายมาดูแลผมต่อ แต่คุณยายแก่มาก ท่านไม่มีเงินและไม่มีรายได้ คุณยายขอให้เจ้าอาวาสวัดที่ผมอยู่ช่วยส่งเสียค่าเล่าเรียนให้ ผมมีเงินค่าเล่าเรียนก็จริง แต่ความเป็นอยู่ในชีวิตประจำวันไม่ได้กินดีอยู่ดีเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ เวลาไปโรงเรียนเพื่อนมีขนมกินแต่เราไม่มี บางวันยายก็ต้มไข่ให้กินกับข้าวสลับกับไข่เจียว หลาย ๆ ครั้งที่ผมนึกน้อยใจในโชคชะตา ทำไมผมลำบากไม่มีเหมือนคนอื่น แต่ผมก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้

มีป้าคนหนึ่งอยู่ในวัดเหมือนกัน ท่านสงสารผม อยากให้ผมมีเงินไปกินขนมที่โรงเรียน ท่านแนะนำให้ผมไปช่วยงานน้องสาวซึ่งเปิดคลินิกทุกวันเสาร์อาทิตย์ ผมก็ไปช่วยทำความสะอาด คุณน้าให้ทำอะไรก็ทำ โดยได้ค่าขนมเป็นรายอาทิตย์ ทำให้ผมพอจะมีเงินไปกินขนมที่โรงเรียนบ้าง พอใกล้เรียนจบประถมศึกษาปีที่ 6 คุณป้าที่แนะนำผมไปทำงานบอกคุณน้าว่า อยากให้ช่วยส่งเสียผมเรียนชั้นมัธยม ตอนแรกคุณน้ายังไม่ตอบรับ ขอดูพฤติกรรมของผมก่อน และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตผมก็เกิดขึ้น

พล รัตนวิชัย

วันนั้นผมไปทำความสะอาดคลินิกตามปกติ แล้วเจอทองตกอยู่ที่พื้นโดยไม่มีใครเห็น ตอนนั้นสมองก็คิดว่าจะทำอย่างไรดี เพราะใจหนึ่งก็อยากได้ แต่ก็ได้ยินเสียงคุณครูที่สอนในห้องเรียนดังก้องในหัวว่า

“อย่าเอาของคนอื่นนะ  มันไม่ดี”

ผมตัดสินใจนำสร้อยไปเก็บไว้ในลิ้นชักที่ตั้งอยู่ในคลินิก แล้วก็ลืมเรื่องนี้ไปเลย จนกระทั่งผมไปทำงานอีกครั้ง เห็นคุณน้าบ่น ๆ เรื่องทองหาย ไปดดูวงมาก็เห็นว่าไม่ได้คืนแน่แล้ว แต่ก็ยังถามผมว่า

“พลเห็นทองบ้างไหม”

ผมนึกขึ้นได้ทันทีว่าเป็นคนเอาทองไปเก็บไว ้ ผมไม่ได้ตอบอะไร แต่เดินไปหยิบทองมายื่นให้เขา เหตุการณ์นี้ทำให้คุณน้าเห็นว่าผมเป็นเด็กซื่อสัตย์ จึงตัดสินใจส่งผมเรียนต่อชั้นมัธยม และรับอุปการะผมเต็มตัว แม้ว่าบรรดาญาติของคุณน้าจะพยายามห้าม บอกว่าไม่ใช่คนในครอบครัว ถ้าโตขึ้นผมอาจพาเขาไปปล่อยที่สถานสงเคราะห์ก็ได้ แต่ผู้ที่จะรับอุปการะผมไม่เชื่อว่าผมเป็นคนไม่ดี

จากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะนอกจากส่งผมเรียนหนังสือแล้ว คุณน้ายังพาไปซื้อชุดใส่เที่ยว ชุดดี ๆให้ใส่ ช่วงผมปิดเทอมก็พาผมไปอยู่ด้วย สอนการใช้ชีวิตทุกอย่าง ที่บ้านคุณน้ามีหนังสือให้อ่านเยอะมาก ผมกลัวว่าถ้านอนเล่นเฉย ๆ คุณน้าอาจตำหนิเอาได้ ผมจึงไปอ่านหนังสือ เล่มแรกที่อ่านเป็นแนวธรรมะกับวิทยาศาสตร์ จากตอนแรกที่คิดว่าอ่านฆ่าเวลากลายเป็นว่ายิ่งอ่านยิ่งได้ข้อคิดเหมือนหนังสือกำลังสอนเรา ก่อนหน้านั้นผมเป็นเด็กคิดมาก ใครว่าใครตะคอกหรือโดนดุจะเก็บเอาไปคิดสองสามเดือน พออ่านหนังสือธรรมะก็ปล่อยวางได้มากขึ้น

ตอนแรกคุณน้าตั้งใจส่งผมเรียนจนจบ ปวช.แล้วให้เราออกไปหางานทำ แต่พอมาอยู่ด้วยกันก็เริ่มผูกพัน เขารักเราเหมือนลูก เพราะเขาก็โสดไม่มีครอบครัว ในที่สุดเขาก็ส่งเสียผมไปจนถึงปริญญาตรี จากนั้นก็พาผมไปจดทะเบียนรับเป็นลูกบุญธรรมให้ถูกต้องตามกฎหมาย

ช่วงที่ผมเรียนปริญญาตรี ผมพบความโชคดีอีกอย่าง นั่นก็คือเพื่อนสนิททั้งสองคนของผมชอบทำบุญ ทุกวันพฤหัสบดี 7 โมงเช้าเขาจะชวนผมไปตักบาตรที่มหาวิทยาลัย ชวนเป็นประจำ แต่มีอยู่วันหนึ่งซึ่งผมต้องไปตักบาตรกับเพื่อนตามปกติ แต่วันนั้นพอรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลับคิดว่าวันนี้ไม่ไปดีกว่า แล้วก็เผลอหลับไป สักครู่ผมก็ฝันเห็นพระรูปหนึ่ง ท่านพูดกับผมว่า

“ลุกขึ้นไปทำบุญ”

พล รัตนวิชัย

ในฝันผมจำหน้าท่านได้ แต่ไม่รู้จักชื่อ หลังจากนั้นผมก็ตื่นไปทำบุญ เวลาผ่านไปพักใหญ่ ๆ ผมไปเจอภาพของหลวงพ่อที่อยู่ในฝันของผม ท่านคือ หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม แห่งวัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี หลังจากนั้นมาผมก็ตามอ่านหนังสือของหลวงพ่อจรัญทั้งหมด ซึ่งทำให้ผมอยากไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวันบ้าง

ตอนผมเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ก็มีโอกาสไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน 7 วัน ซึ่งทำให้ผมเปลี่ยนไปเป็นอีกคน เพราะแม้ผมชอบอ่านธรรมะมากแค่ไหน แต่ยังไม่เคยปฏิบัติจริงจัง ผมยังเป็นคนมองโลกในแง่ลบ คิดอะไรลบตลอด แต่พอได้ปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ทำให้ผมได้ชำระจิต เมื่อเกิดความคิดลบก็มีสติรู้ทัน ก่อนหน้าจะไปปฏิบัติธรรม ปกติแล้วทุกวันศุกร์ผมชอบไปดื่มเหล้า แต่หลังจากได้ปฏิบัติธรรม ผมตั้งปณิธานกับตัวเองว่าจะไม่ดื่มเหล้าอีก ซึ่งก็ทำได้ตามที่ตั้งใจไว้

เมื่อเรียนจบปริญญาตรี ผมได้ทุนเรียนปริญญาโท หลังเรียนจบได้ทำงานเป็นวิศวกรของบริษัทต่างชาติ ผมทำงานหนักมาก ทั้งเครียดทั้งกดดัน จนสุขภาพเริ่มแย่ จากที่เคยหนัก 70 กิโลกรัม ก็ลดเหลือแค่ 40 กิโลกรัม เวลาเอามือลูบผม ผมถึงกับร่วงติดมือมา พอรู้ว่าตัวเองเครียดจัดจึงลาออกไปหางานใหม่

ผมเปลี่ยนที่ทำงานอีกครั้งสองครั้ง โดยระหว่างนั้นก็เริ่มศึกษาเรื่องการทำธุรกิจ E-commerce ควบคู่ไปกับการทำงานประจำ สุดท้ายเมื่อเห็นว่าธุรกิจส่วนตัวสามารถเลี้ยงตัวได้ จึงตัดสินใจลาออกจากงานประจำมาทำธุรกิจของตนเองเต็มตัว ในขณะนั้นผมได้เงินเดือน 80,000 บาท ซึ่งธุรกิจของผมสามารถสร้างรายได้ให้กับผม 4 เท่าของเงินเดือนที่ผมเคยได้ และผมไม่เคยลืมบุญคุณของคุณแม่บุญธรรม ทุกเดือนผมกลับไปดูแลท่านที่ต่างจังหวัด แล้วก็ซื้อรถคันใหม่ให้ท่าน

จากชีวิตในวัยเด็กที่คงไม่ผิดนักหากจะบอกว่ามาจากศูนย์ ทุกวันนี้ผมมีความเป็นอยู่สบาย ไม่ทุกข์เหมือนตอนเด็ก ๆ เมื่อมองย้อนกลับไปผมรู้สึกดีใจที่ได้ฝึกความอดทนมาตั้งแต่เด็ก ๆ และได้เรียนรู้การเป็นพ่อและแม่ของตัวเอง ตอนที่เราไม่มีพ่อแม่ เวลาเราเจอปัญหาผมจะสร้างสถานการณ์จำลองเหมือนเรากำลังพูดกับแม่ว่าจะทำอย่างไรดี และทุกครั้งจะมีเสียงสะท้อนว่าต้องอดทน ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนเป็นการสอนตัวเองให้ยืนหยัดต่อไปได้

และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ  หมั่นชำระจิตไม่ให้คิดลบ   แล้วชีวิตจะก้าวต่อไปได้อย่างมีความสุข

 

ข้อคิดจากพระ ดร.นิตินัย อุดมกัน วัดป่าเมตตาวนาราม ห้วยไร่ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

ศีล 5 คือศีลประจำโลกนี้ ไม่ว่าใครปฏิบัติตามย่อมได้อานิสงส์ศีลข้อ 2 ไม่เอาสิ่งของที่ไม่ใช่ของตนมาเป็นของตน นั่นคือความซื่อสัตย์สุจริตและเป็นผู้มีสัจจะ ตลอดจนความอดทนอดกลั้นเป็นตบะอย่างยิ่งให้เราฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ ไปโดยไม่ย่อท้อ

การที่คนเราจะได้เป็นยอดคนนั้น ย่อมต้องผ่านอุปสรรคเหล่านี้นั่นเอง และอาศัยความอดทนรวมไปถึงความเพียร โดยมีศีลธรรมเป็นพื้นฐานประกอบเกื้อกูลกันไป เมื่อเรารู้หลักการแล้ว เราต้องลงมือปฏิบัติเพื่อให้เห็นผลจะได้แจ้งประจักษ์ชัดเจนภายในใจ ไม่เว้นแม้แต่การปฏิบัติธรรม ต้องปฏิบัติเองจึงจะรู้และเข้าใจ การศึกษาธรรมเพื่อรู้ธรรมเข้าใจในธรรม ก็เพื่อการปล่อยวางจากความทุกข์ยากภายในจิตใจที่เกิดขึ้น เมื่อมีธรรมะมากขึ้นย่อมมีความสุขสงบร่มเย็นภายในใจ ความวุ่นวายสับสนภายในจิตใจย่อมเบาบางลงไป และเมื่อปล่อยวางได้หมดย่อมหมดเวรหมดภัย ก็จะมีแต่ความคิดบวกและมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์นั่นเอง

 

ที่มา : นิตยสาร Secret

เรื่อง : พล รัตนวิชัย

เรียบเรียง : อุรัชษฎา ขุนขำ  ภาพ : สรยุทธ พุ่มภักดี

Secret Magazine (Thailand)

© COPYRIGHT 2024 Amarin Corporations Public Company Limited.