บุญครั้งสุดท้าย – ผมเป็น “คุณพ่อ” ที่มีลูกสองคน คนหนึ่งเป็นลูกสาวชื่อยุ้ย อีกคนเป็นผู้ชายชื่อโอ…ทั้งสองถือเป็นของขวัญจากฟ้าที่ผมรักมากที่สุด
ตั้งแต่เด็ก ลูกสาวจะติดผมมาก เพราะผมมีเวลาอยู่กับเขาเยอะ มักพาเขา ไปเที่ยวบ่อย ๆ ไปไหนไปด้วยกันตลอด แม้แต่เวลาที่ผมไปทำงาน จนเมื่อลูกโตขึ้น เราจึงย้ายครอบครัวมาอยู่ลำปาง
ยุ้ยเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เคยทำความเดือดร้อนใจให้พ่อแม่เลย ช่วงที่ใกล้จะจบมัธยม 6 ยุ้ยก็แอบไปบริจาคอวัยวะรวมถึงดวงตาให้สภากาชาดไทย โดยที่ไม่มีใครในครอบครัวรู้เรื่องเลยสักคน
เวลาผ่านมาเกือบปี ผมบังเอิญได้เห็นบัตรสำหรับผู้บริจาคอวัยวะของลูก พอถาม ยุ้ยบอกผมแค่ว่า อยากทำบุญ …แต่ผมเชื่อว่า แรงบันดาลใจที่ลูกอยากบริจาคอวัยวะและดวงตาอาจเป็นเพราะ ตอนที่เขายังเด็ก ผมมักมีอาการแสบตา เมื่อไปหาหมอ ยุ้ยก็จะคอยถามหมอตลอดว่า “คุณพ่อจะเป็นอะไรมากไหมคะ”
…ตั้งแต่นั้นมาลูกคงฝังใจ กลัวว่าผมจะตาบอด พอใกล้จะขึ้นปี 3 ลูกชายเล่าให้ฟังว่า ยุ้ยแอบไปกระซิบบอกน้องว่า “ถ้าพี่ยุ้ยได้งานทำเมื่อไหร่ พี่จะพาพ่อไปผ่าตัดตา”
ถัดจากวันนั้นมาอีก 3 – 4 วัน เขาก็มาขอผมไปงานวันเกิดเพื่อน ลูกสาวผมเป็นคนรักเพื่อน และเพื่อน ๆ ก็รักเขามาก เพราะเขาเป็นคนคุยสนุก อัธยาศัยดี เวลาใครมีปัญหาอะไรก็มักจะมาหาเขาที่บ้านเสมอ ก่อนไปผมกอดเขาแน่น หอมแก้มอีกสองสามทีเหมือนที่เคยทำตามปกติ ก่อนบอกว่า “อย่ากลับดึกนะลูก พ่อรักลูกนะ”
ผมนั่งรอลูกจนถึงประมาณสี่ทุ่ม เมื่อเห็นว่ายังไม่กลับ ภรรยาผมจึงโทร.หาด้วยความเป็นห่วง ลูกรับโทรศัพท์แล้วบอกว่ากำลังจะกลับบ้าน ได้ยินอย่างนั้นผมก็หมดห่วง จึงปิดมือถือ เดินไปรอที่ระเบียงหน้าบ้านเพื่อเปิดประตูคอยรับลูก
ทว่า…รอแล้วรอเล่าลูกสาวผมก็ยัง ไม่กลับมา…
“พ่อ! ยุ้ยเกิดอุบัติเหตุอาการหนักมาก พ่อรีบไปโรงพยาบาลเถอะ!”
เพื่อนของลูกสาวเป็นคนขับรถมาบอกผมที่บ้าน ระหว่างรอลูกอยู่หน้าห้องเอกซเรย์ ทุกคนเล่าให้ผมฟังว่า ระหว่างทางกลับบ้าน เพื่อนคนหนึ่งของลูกสาวเกิดรถเสีย ระหว่างทางในที่เปลี่ยว ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าเพื่อนจะเป็นอันตราย เขาเลยรีบขับมอเตอร์ไซค์ไปหาเพื่อนด้วยความเร็ว พอเบรกรถเลยพลิกคว่ำ ทำให้เกิดอุบัติเหตุ หัวไปกระแทกกับฟุตปาธ
เมื่อหมออนุญาตให้เข้าไปเยี่ยม ภาพที่ผมเห็นคือ ลูกสาวที่ผมรักมีสายออกซิเจนสอดอยู่ในจมูก ทั้งตัวของลูกแทบไม่มีแผลบาดเจ็บเลย ยกเว้นตรงศีรษะ ราวกับลูก ยังคงสบายดี ไม่ได้เป็นอะไร
“ยุ้ย เป็นยังไงบ้างลูก” ผมก้มลงกระซิบถามลูกเบา ๆ
…มีเพียงความเงียบงันและเสียงจาก เครื่องวัดชีพจรของลูกตอบกลับมา…
ทันทีที่ออกจากห้องเอกซเรย์ ยุ้ยก็ถูกส่งตัวเข้าไอซียู ผมรอหมออยู่หน้าห้องตรวจด้วยความหวัง ก่อนที่หมอจะเดินออกมาบอกว่า “ขอแสดงความเสียใจกับคุณพ่อ คุณแม่ด้วยนะครับ” หมอชี้ให้เราดูผลเอกซเรย์พร้อมกับอธิบายให้ฟังว่า หมอทุกคนรวมถึงแพทย์เฉพาะทางด้านสมองได้วินิจฉัยแล้วว่าลูกผมมีภาวะ “สมองตาย”
คนที่มีภาวะสมองตายคือคนที่ไม่สามารถตอบสนองอะไรได้อีกแล้ว หมออธิบายให้ผมฟังว่า พอสมองตายแล้ว อวัยวะอื่น ๆ ของลูกผมจะตายไปตามลำดับ และจะเสียชีวิตในที่สุด
“ทำไมหมอไม่ผ่าตัดลูกผม”
ตอนนั้นผมทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ตั้งคำถามถามซ้ำ ๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า หวังเพียงให้มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ให้ลูกผมฟื้นขึ้นมาพูดคุยกับพ่อแม่อีกสักครั้ง
“ถ้ามีโอกาสรอดแม้สัก 5 - 10 เปอร์เซ็นต์ หมอก็ยินดีจะผ่าให้” ทันทีที่หมอตอบแบบนั้น หัวใจคนเป็นพ่อก็แทบแตกสลาย เพราะนั่นหมายถึงลูกผมคงไม่มีโอกาสลืมตาขึ้นมาอีกแล้ว
ครั้งหนึ่ง ผมเห็นเท้าของลูกกระดิก ใจผมลิงโลดขึ้นมาทันที คิดว่าปาฏิหาริย์อาจมาเยือนครอบครัวเรา ทว่า…ความฝันก็ไม่เป็นจริง เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมงลูกผมก็ไม่ฟื้น ผมและภรรยาจึงเริ่มทำใจว่า ลูกของเราคงต้องจากเราสองคนไปแล้วจริง ๆ
ช่วงเวลานั้นแพทย์ซึ่งดูแลลูกผมมาปรึกษาครอบครัวเราเรื่องบริจาคอวัยวะ เพราะลูกสาวผมได้บริจาคอวัยวะไว้ แม้จะกังวลว่าจะกลายเป็นการฆ่าลูกหรือเปล่า ชาติหน้าลูกจะเกิดมาอวัยวะครบไหม หรือควรปล่อยให้เขาตายไปตามธรรมชาติ แต่สุดท้ายเราทั้งคู่ก็ตัดสินใจได้ว่าจะบริจาคอวัยวะของลูก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะยุ้ยได้แสดงเจตจำนงไว้แล้วว่าต้องการจะบริจาคอวัยวะ อีกส่วนหนึ่งคือผมเชื่อว่า เมื่อชีวิตลูกกำลังจะสิ้นสุดลงและจะไม่ได้ใช้อวัยวะนี้อีกแล้ว ลูกซึ่งเป็นผู้ให้มาตลอดก็คงอยากให้เรามอบอวัยวะที่ยังใช้ได้นี้ให้แก่ผู้ที่กำลังรอคอยด้วยความหวัง
แม้จะไม่มีปาฏิหาริย์สำหรับลูกผม แต่ลูกผมอาจได้เป็นปาฏิหาริย์ของใครอีกหลายคน และนั่นคงเป็นสิ่งที่ยุ้ยต้องการมากที่สุด
ผมคิดเสมอว่า เมื่อผมบริจาคอวัยวะของลูกไป ลูกผมก็จะยังไม่ตายไปจากโลกนี้ แต่ยังคงมีชีวิตอยู่ต่อไปแม้จะอยู่ในร่างคนอื่นก็ตาม แพทย์แจ้งให้ผมทราบภายหลังว่า อวัยวะของลูกสามารถช่วยชีวิตคนได้ถึง 6 คนด้วยกัน คือ ดวงตา 2 คน ตับ 1 คน ไต 2 คน และหัวใจอีก 1 คน
หลังจากทุกอย่างเรียบร้อยเราก็นำร่างของลูกมาจัดงานศพ ความดีและความรักของยุ้ยที่มีต่อทุกคนส่งผลให้มีคนหลั่งไหลมาร่วมงานศพมากมาย เพื่อนของลูกทุกคน ช่วยงานกันอย่างขยันขันแข็งจนพ่อและแม่อย่างเราแทบไม่ต้องขยับตัว…เป็นภาพที่ผมเห็นแล้วภูมิใจในตัวลูกมาก เพราะอย่างน้อยลูกก็ทำความดีไว้ไม่น้อย
ทุกวันนี้เมื่อนึกถึงยุ้ย ผมและภรรยาก็มักจะไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ลูกตลอด เวลาทำกับข้าวอร่อย ๆ ก็จะนึกถึงลูกเสมอ แม้ว่าความคิดถึงจะทำให้เราสองคนเศร้าใจ ไปบ้าง แต่ชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป
“คุณพ่อไม่ต้องเป็นห่วงหนูนะ หนูไปดีแล้ว จะไปเป็นเทวดาแล้ว” ผมฝันถึงลูกในคืนวันหนึ่ง ไม่รู้ว่าเรื่องที่ฝันจะเป็นจริงหรือไม่ แต่ผมเชื่อว่า ลูกคงอยากให้ผมคลายความกังวลใจในตัวเขา
ทุกครั้งที่นึกถึงลูกสาวคนนี้ ผมยังคงภูมิใจในตัวเขาเสมอ ที่เขามีเจตนาจะทำ บุญครั้งสุดท้าย และได้สมความปรารถนาในสิ่งที่ตั้งใจ…
ข้อคิดเห็นจากพระอาจารย์นวลจันทร์ กิตติปัญโญ
น่าภาคภูมิใจแทนพ่อแม่ที่ลูกไม่ได้คิดถึงแต่ตัวเอง สิ่งไหนที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นเขาก็พร้อมจะสละออกไป ถือเป็นคนที่มีจิตใจสูงส่ง ส่วนพ่อและแม่ที่กังวลว่าจะเป็นการฆ่าลูก ก็ต้องเข้าใจว่า จริง ๆ แล้วเป็นเจตนาของลูกที่ทำไว้ก่อนแล้ว จึงถือเป็นบุญ ไม่ได้เป็นบาป พ่อแม่ต้องมองในแง่บวกแง่กุศล ว่าลูกได้ทำบุญใหญ่ครั้งสุดท้ายก่อนจะจากไป
บางคนพอจากไปแล้วไม่เกิดประโยชน์อะไร แต่คนที่ได้ส่งต่ออวัยวะ ได้ต่อชีวิตให้กับคนอีกหลายคน ถือว่าได้ประโยชน์มาก ยิ่งถ้าผู้ที่ได้รับบริจาคเป็นทรัพยากรที่สำคัญของประเทศชาติ เป็นผู้ที่รังสรรค์สิ่งที่ดีงามให้เกิดขึ้นกับบ้านเมืองด้วยแล้ว ก็ยิ่งถือเป็นบุญใหญ่ น่าอนุโมทนา
ส่วนใครที่กลัวว่าบริจาคอวัยวะไปแล้ว ชาติหน้าอวัยวะจะขาดหาย อันนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะความจริงยิ่งให้ก็ยิ่งได้ ถ้าเราไม่ให้ เราจะได้สิ่งใดมา เพราะเราเคยช่วยเหลือ เกิดมาจึงมีคนช่วยเหลือ ยิ่งเราบริจาคอวัยวะหรือทำบุญด้วยอวัยวะมาหลายชาติ อวัยวะก็จะยิ่งทนทานต่อการใช้งาน เป็นต้นว่าให้ดวงตาก็จะมีดวงตาที่สดใส ไม่เป็นโรค
หากพ่อแม่ไม่มั่นใจว่าลูกจะตายจริงหรือไม่ จะเป็นการฆ่าลูกหรือเปล่า ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลให้ดี เพื่อประโยชน์แก่ตัวเองและทุกคน พระพุทธเจ้าเองก็ทรงเตือนให้มีปัญญาในการให้ทาน ทรงให้ใช้วิจารณญาณ ตรึกตรอง สืบถามสอบสวนให้ทราบที่มาที่ไปให้ถี่ถ้วนก่อนจึงจะดีที่สุด
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ธีระพัทธ์ วงษ์ทอง
เรียบเรียง ณัฐนภ ตระกลธนภาส
ภาพ วรวุฒิ วิชาธร แบบ ณัฐพล จารุกรุณา