ความฝันสุดท้าย

ความฝันสุดท้าย …ของน้องติ๊ก

ความฝันสุดท้าย…ของน้องติ๊ก – แดดยามเช้าทอแสงเรืองรองกระทบใบหญ้าเขียวชอุ่มที่รายล้อมอาคารผู้ป่วยหลังใหม่ของโรงพยาบาล ฉันรีบสาวเท้าเข้าไปในตัวอาคารเพื่อให้ทันนัดหมาย

วันนี้ฉันมีนัดกับคนไข้เด็กที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายซึ่งอยู่ในโปรแกรมการดูแลของทีม เราจะไปถวายสังฆทานที่หอผู้ป่วยสงฆ์อาพาธ เป้าหมายของการทำบุญในวันนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้ช่วยเหลือเยียวยาจิตใจคนไข้เด็กมะเร็งและพ่อแม่ เพื่อให้พวกเขามีพลังใจที่เข้มแข็ง พร้อมจะต่อสู้หรือเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ ที่ถาโถมเข้ามา

“ไหน ๆ ก็มากันแล้ว ฟังเทศน์ก่อนแล้วค่อยกลับนะโยม…

“ในโลกของความเป็นมนุษย์นั้น เกิด แก่ เจ็บ ตาย ความพลัดพรากเป็นของธรรมดา โยมเคยเห็นต้นมะม่วงไหม มะม่วงดิบร่วงก่อนมะม่วงสุก ดอกมะม่วงร่วงก่อนที่จะเป็นผล เพราะฉะนั้น หากเด็กจะตายก่อนผู้ใหญ่ก็ไม่แปลก ขอให้พึงระลึกนึกถึงตัวเราเองว่า วันหนึ่งก็ต้องร่วงไปเหมือนกับผลและดอกของมะม่วงเช่นเดียวกัน” คำสอนของพระในวันนี้ได้สะกิดย้ำเตือนพวกเราว่า สังขารทั้งหลายต้องแก่ ต้องเจ็บ และต้องตาย และความตายนั้นไม่เลือกเด็ก ผู้ใหญ่ หรือคนชรา

ขณะเดินกลับบ้าน ฉันนึกถึงคนไข้เด็กคนหนึ่งชื่อ “น้องติ๊ก”…ย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ขณะนั้นน้องติ๊กมีอายุเพียงแค่ 4 ขวบ แม่พามาพบหมอด้วยอาการไข้และซีดเรื้อรัง โดยไม่ทันคาดคิดว่าเด็กอายุเท่านี้จะเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายอย่างมะเร็ง

“จากการตรวจเลือดพบว่ามีเซลล์ตัวอ่อนของเม็ดเลือดในร่างกายที่มากผิดปกติ และเมื่อตรวจการทำงานของไขกระดูกอย่างละเอียด ทำให้หมอแน่ใจว่าน้องเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว” น้ำเสียงนุ่มนวลของหมอช่วยให้ผู้ฟังค่อย ๆ ตั้งสติได้บ้าง แต่กระนั้นหยดน้ำตาของคนเป็นแม่ก็ไหลอาบแก้ม เมื่อรวบรวมสติได้ เธอก็บอกกับตัวเองว่าต้องสู้ และจะทำทุกวิถีทางเพื่อเอาชนะมะเร็งร้ายในร่างกายลูกให้ได้

เมื่อการรักษาเริ่มต้นขึ้น สิ่งที่น้องติ๊กต้องเผชิญและตั้งรับอย่างเลี่ยงไม่ได้คือ ฤทธิ์เดชของยาเคมีบำบัด ขึ้นชื่อว่ายาเคมีบำบัด ใคร ๆ ต่างก็กลัว เพราะแม้จะออกฤทธิ์เพื่อการรักษา แต่ผลข้างเคียงของยาก็ทำลายเซลล์ที่ดีของร่างกายไปด้วย การรักษาเป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากโรคมีการกลับซ้ำอยู่หลายครั้ง แม่พาน้องติ๊กเดินเข้า – ออกโรงพยาบาลจนกลายเป็นขวัญใจพี่พยาบาลทั้งวอร์ด น้องติ๊กเป็นเด็กน่ารัก ตัวอ้วนกลม ผิวคล้ำ ยิ้มเก่ง รู้ภาษากว่าเด็กในวัยเดียวกัน แต่มะเร็งก็ไม่เลือกว่าใครเป็นใคร ไม่ปรานีกระทั่งเด็กน่ารักอย่างน้องติ๊ก

แม่ของน้องติ๊กเล่าถึงความยากลำบากในการพาลูกมาพบหมอแต่ละครั้งว่า ด้วยความที่หมู่บ้านอยู่ในถิ่นทุรกันดาร การเดินทางจึงต้องนั่งรถหลายต่อ ครั้งหนึ่งหลังจากพาน้องติ๊กมาพบหมอที่โรงพยาบาล ขากลับ พอไปถึงทางเข้าหมู่บ้านก็มืดค่ำแล้ว หารถต่อเข้าไปในหมู่บ้านไม่ได้ สองแม่ลูกจึงต้องนอนค้างคืนในกระท่อมปลายนาที่ไม่รู้กระทั่งว่าเจ้าของกระท่อมน้อยหลังนี้เป็นใคร จนรุ่งสางจึงได้โบกรถกลับเข้าหมู่บ้าน

การรักษาใช้เวลายาวนานถึง 10 ปี จนกระทั่งเช้าวันหนึ่งน้องติ๊กกลับเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้ง เพราะพบว่ามีก้อนที่ลูกอัณฑะ นี่เป็นสัญญาณบอกเหตุว่ามะเร็งได้กำเริบและลุกลามไปยังอวัยวะสำคัญ และนั่นหมายถึงว่าหมดทางรักษาแล้ว แม่น้องติ๊กได้แต่พร่ำรำพัน เธอเสียใจที่พยายามต่อสู้มาตลอด 10 ปี แต่กลับต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า

“เรายังไม่หมดหวังซะทีเดียวนะคะคุณแม่ เรายังมีทางเลือกนั่นคือการรักษาแบบประคับประคอง โดยเน้นให้น้องมีคุณภาพชีวิตที่ดี ไม่ทุกข์ทรมาน” ฉันเล่าให้แม่น้องติ๊กฟังว่า เร็ว ๆ นี้ทีมการดูแลผู้ป่วยเด็กโรคมะเร็งร่วมกับมูลนิธิสายธารแห่งความหวัง จะจัดกิจกรรมพาน้องเที่ยวทะเล โดยกิจกรรมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ที่จะสานฝันเด็กที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้ายให้เป็นจริง

“น้องติ๊กเขาเคยใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งอยากจะไปเห็นทะเล แต่แม่คิดว่าชีวิตนี้คงไม่มีปัญญาพาลูกไป” นี่คือคำบอกเล่าของแม่ เมื่อได้ยินดังนั้นฉันจึงไม่รอช้า รีบดำเนินการให้ น้องติ๊กและแม่เป็นหนึ่งในคนไข้ที่จะร่วมเดินทางไปกับเรา และทั้งทีมดูแลรักษาก็ไม่มีใครขัดข้อง

เมื่อถึงวันเดินทาง แม่บอกว่า น้องติ๊กตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ สิบกว่าชีวิตที่ร่วมเดินทางไปกับทริปนี้ประกอบด้วย คนไข้เด็กโรคมะเร็ง ผู้ปกครอง พยาบาล และนักสังคมสงเคราะห์ เราถึงจุดหมายคือ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ซิตี้ จอมเทียน พัทยา ตอนแปดโมงเช้า เราพาเด็ก ๆ เข้าร่วมกิจกรรมใน โครงการคนหล่อขอทำดี ที่นิตยสาร สุดสัปดาห์ ร่วมกับคลื่นสถานีวิทยุแห่งหนึ่งพร้อมกับดาราและเหล่าดีเจหนุ่มหล่อ จัดขึ้นเพื่อให้กำลังใจน้อง ๆ ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็ง

วันนั้นน้องติ๊กเข้าร่วมกิจกรรมทุกกิจกรรมโดยไม่มีท่าทีเหน็ดเหนื่อย ทั้งเพ้นต์เสื้อและลงเล่นน้ำทะเล ฉันแอบเห็นรอยยิ้มที่เปี่ยมไปด้วยความสุขของน้องติ๊กขณะที่ลงเล่นน้ำทะเลอย่างสนุกสนาน

ภาพที่ยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของฉันจนถึงทุกวันนี้ คือภาพที่น้องติ๊กวิ่งไปริมทะเล แล้วยืนเพ่งมองอยู่นานราวกับจะพูดว่า “นี่น่ะหรือ…ทะเลที่ฉันฝันอยากจะมา ในที่สุดฉันก็ได้มาแล้วจริง ๆ” ตกเย็นน้องติ๊กยังร่วมสนุกบนเวทีกับนักร้องชื่อดัง ลิเดีย – ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา แถมยังมีโอกาสได้หอมแก้มลิเดียด้วย น้องติ๊กกลายเป็นขวัญใจของทุกคนและช่วยสร้างสีสันตลอดงาน ทั้งยังสร้างความประทับใจให้กับผู้ที่มาร่วมงานในค่ำคืนนั้น โดยเฉพาะรอยยิ้มและท่าเต้นอันเป็นเอกลักษณ์

คุณค่าของภารกิจสานฝันผู้ป่วยเด็กที่เป็นมะเร็งนั้นอยู่ที่การได้ดูแลจิตวิญญาณของเด็กคนหนึ่ง น้องติ๊กทำให้พวกเราได้เรียนรู้ว่า ทุกคนสามารถค้นหาคุณค่าและความหมายของชีวิตได้ตลอดเวลา แม้เวลาจะเหลืออยู่เพียงน้อยนิดก็ตาม

“น้องติ๊กได้มาเห็นทะเล ได้มานอนโรงแรมห้าดาว กินอาหารอร่อย ได้กระทบไหล่ดาราชื่อดัง ถึงแม้น้องติ๊กจะตายก็ไม่เสียดายชีวิตครับแม่”

วันนี้…น้องติ๊กได้จากพวกเราไปแล้ว จากไปอย่างสงบในอ้อมกอดของครอบครัวที่เขารักที่จังหวัดหนองบัวลำภู เรื่องราวของน้องติ๊กได้เตือนสติพวกเราว่า ความตายนั้นไม่มีลำดับว่าจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก่อน ที่สำคัญคือ ไม่มีใครรู้ว่าเมื่อไรจะเป็นเรา แต่ การเจริญมรณสติเป็นสิ่งที่เราควรจะกระทำอยู่เสมอ เพราะจะทำให้เราเกิดปัญญา มีสติคิดได้ว่าเรายังไม่ได้ลงมือทำอะไรให้ควรค่ากับการที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เราก็จะได้เร่งขวนขวายและฝึกใจให้ปล่อยวาง และเมื่อวันนั้นมาถึงจริง ๆ เราจะได้ปลดเปลื้องสิ่งต่าง ๆ ที่ค้างคาใจและจากไปอย่างสงบ หรือที่ในทางพุทธเรียกว่า “ตายดี” นั่นเอง

 

ที่มา  นิตยสาร Secret

เรื่อง  สุธีรา พิมพ์รส

Secret Magazine (Thailand)

IG @Secretmagazine

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.