จมทุกข์ – เมื่อเธอเพิ่งรู้ว่าธรรมะช่วยเยียวยาความทุกข์ได้
โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา
แม้ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์
อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข
ความประสบกับสิ่งไม่เป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข
ความพลัดพรากจากสิ่งเป็นที่รักที่พอใจ ก็เป็นทุกข์
สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา
ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง 5 เป็นตัวทุกข์
พระอาทิตย์สีส้มกลมสุกกำลังจะลาลับยอดเจดีย์สถานที่เบื้องหน้าพร้อมกับแสงสุดท้ายของวัน ลมพัดเอื่อยๆ ให้คลายความอบอ้าวของเดือนเมษาฯ เหล่าอุบาสก – อุบาสิกาพากันเปล่งเสียงสวดมนต์ทำวัตรเย็นอย่างพร้อมเพรียงบนผืนหญ้าข้างสระน้ำขนาดใหญ่ เมื่อเสียงระฆังสิ้นสุดลง ทุกอย่างดำเนินไปเรื่อยๆ เหมือนเมื่อสามวันก่อน
ฉันเข้าใจว่าชุดสีขาวที่เหล่าอุบาสก – อุบาสิกานุ่งห่มอยู่นี้ ช่วยกล่อมเกลาจิตใจของฉันให้รู้สึผ่อนคลายลงจนรู้สึกได้ถึงความสงบล้ำลึกอย่างประหลาดที่ผุดขึ้นกลางใจในบางครั้งบางคราว ประกอบกับวิถีชีวิตที่เรียบง่ายและเนิบช้าของผู้คนที่วัดแห่งนี้ช่างแตกต่างกับชีวิตประจำวันของฉันในเมืองใหญ่ที่เพิ่งจากมา
ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ฉันสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดี ความเอื้ออาทรอย่างจริงใจที่เหล่าผู้ปฏิบัติธรรมมีต่อคนแปลกหน้าอย่างฉันราวกับเป็นญาติพี่น้อง เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ฉันไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจในการมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ แม้จะเพิ่งมาเพียงลำพังเป็นครั้งแรก
เย็นวันนี้ก็คล้ายกับทุกๆ วันที่ผ่านมา ฉันสวดมนต์เป็นภาษาบาลีสลับกับคำแปลพร้อมกลุ่มผู้ปฏิบัติธรรมนับร้อย แต่ทว่าเมื่อมาถึงบทสวดสังเวคปริกิตตนปาฐะ ความรู้สึกสะท้อนสะเทือนใจที่ยากจะอธิบายได้ก็แล่นเข้ามา พร้อมภาพบางภาพที่ผุดขึ้นมาในการรับรู้สลับกับการสวดมนต์ นาทีนั้นภาพเก่าในอดีตเมื่อหลายปีก่อนค่อยๆ ผุดขึ้นมาในความคิดสลับไป – มา ไม่มีความต่อเนื่อง ซ้ำวกไปวนมาอยู่อย่างนั้นจนจับต้นชนปลายไม่ได้ ความสนใจของฉันไม่ได้จดจ่อกับการสวดมนต์พร้อมหมู่คณะอีกต่อไป
ภาพหญิงสาวคนหนึ่งนั่งนิ่งๆ ราวกับหุ่นปั้นที่ไร้ชีวิตบนศาลาวัด แววตาหมองหม่น เลื่อนลอย ขอบตาบวมช้ำบ่งบอกว่าผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสัปดาห์แล้ว เธอก็ยังไม่สามารถยอมรับความจริงที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันได ้ เธอร้องไห้ฟูมฟายอย่างหนักเวลาที่อยู่ลำพัง เพ้อพร่ำคร่ำครวญ หวังให้ใครอีกคนที่นอนสงบนิ่งอยู่นั้นฟื้นตื่นขึ้นมามีชีวิตเหมือนอย่างเคย ตลอดเวลายี่สิบกว่าปีนั้นใช่ว่าเธอจะไม่เคยรู้จักกับความพลัดพรากมาก่อน หากแต่การพลัดพรากจากกันกับใครหลายคนนั้นเป็นเพียงการจากลาในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นแค่การรอคอย ดังนั้นถึงแม้จะรู้สึกเศร้า ทุกข์ทน และเหงา แต่ก็ยังมีวันสิ้นสุด
“ตกลงจะไปจริงๆ เหรอ เปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ เปลี่ยนใจเถอะ”
น้ำเสียงกึ่งอ้อนระคนร้องขอของเธอแผ่วเบาจนเกือบเหมือนกระซิบ ทำให้ใครอีกคนต้องพยายามเงี่ยหูฟัง
“เปลี่ยนใจตอนนี้ไม่ทันแล้วละ เอกสารทุกอย่างเตรียมพร้อมแล้ว ที่สำคัญ นี่เป็นงานนะ เพื่อความก้าวหน้าไง”
เขาเอื้อมมือมาสัมผัสแผ่วเบา หวังจะปลอบใจคนตรงหน้า พร้อมถ้อยคำกึ่งตลกขบขัน เพื่อเปลี่ยนบรรยากาศ
“แค่ไม่กี่เดือนเอง กะพริบตาไม่กี่ทีเดี๋ยวผมก็กลับมาแล้ว อีกอย่างเมืองที่ไปครั้งนี้ก็ใกล้แค่คืบ”
“ใกล้กันแค่ในแผนที่น่ะสิ ไปจริงๆ ต้องนั่งเครื่องตั้งหลายชั่วโมง” น้ำเสียงที่เริ่มส่อแววงอแงและวางท่าจะหาเรื่อง “ไม่รู้ละ เราไม่ไปส่งเธอที่สนามบินอีกแล้วนะ จะมาลาที่บ้านนี่แหละ เผื่อจะหลอกตัวเองได้บ้างว่าใครอีกคนเขาแค่งานยุ่งจนไม่ว่าง ไม่มีเวลามาหากัน ไม่ได้หนีหายไปไหนไกลๆ ตั้งครึ่งค่อนโลกแบบนี้”
“โธ่…ทำไมล่ะ ” อีกฝ่ายรู้สึกฉงน แต่ยังคงพยายามรักษาน้ำเสียงให้ดูปกติ แล้วพูดว่า “ทุกครั้งก็ไปส่งกันนี่”
“ก็เคยบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่า เวลาไปส่งทีไร เรามักจะกลับบ้านพร้อมความรู้สึกแห้งแล้ง หดหู่ยังไงพิกล ไม่เอาแล้ว ไม่อยากไปส่งใครอีกแล้ว”
สุดท้ายเพื่อนชายต้องพยายามชี้ให้เห็นว่า ของทุกอย่างในโลกล้วนมีเป็นคู่ มีสองด้านสองมุมให้มองเสมอ ถ้าคิดว่ามีจาก ก็แน่นอนว่ามันจะต้องมีวันมาพบกันอีกครั้ง แต่ชีวิตคงจะมีความสุขมากขึ้นถ้าหากเลือกที่จะมองในด้านที่ดีๆ ให้มากเข้าไว้ ทุกภาพ ทุกถ้อยคำทุกเหตุการณ์ในวันนั้นยังคงชัดเจนและก้องกังวานในห้วงความคิดของเธอเสมอ
ตลอดเวลาที่ต้องอยู่ไกลกันนั้น เครื่องหล่อเลี้ยงความหวังและกำลังใจของหญิงสาวคือการติดต่อกับบุคคลอันเป็นที่รัก ผ่านทางเสียงหรือตัวอักษรในรูปแบบต่างๆ ที่เป็นตัวแทนความรักความคิดถึงที่คนทั้งคู่มีต่อกัน แต่การจากกันอย่างกะทันหันโดยไม่ได้ร่ำลาด้วยอุบัติเหตุเป็นความจริงที่แสนจะโหดร้ายเหลือประมาณสำหรับเธอ จะมีหนทางใดเล่า ให้คนสองคนได้ติดต่อกันอีก ในเมื่อคนหนึ่งยังมีลมหายใจ ส่วนอีกคนไม่มี ความเศร้าสะเทือนใจครั้งยิ่งใหญ่ที่เกิดขึ้นคราวนี้ทำให้เธอไม่อาจจะยอมรับความจริงที่ต้องเผชิญได้ เธอใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ด้วยความสิ้นหวัง หดหู่ และเศร้าใจ ขังตัวเองไว้ในกองทุกข์นานนับปี จนคนรอบข้างเธอพากันเป็นห่วงและทุกข์ใจตาม แต่ไม่มีใครจะช่วยดึงเธอให้พ้นจากความทุกข์ครั้งนี้ได้
ตามะยัง โอติณณามหะ
พวกเราทั้งหลายเป็นผู้ถูกครอบงำแล้ว
ชาติยา
โดยความเกิด
ชรามะระเณนะ
โดยความแก่และความตาย
โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ
โดยความโศก ความร่ำไรรำพัน ความไม่สบายกาย ความไม่สบายใจ ความคับแค้นใจทั้งหลาย
ทุกโขติณณา
เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว
ทุกขะปะเรตา
เป็นผู้มีความทุกข์เป็นเบื้องหน้าแล้ว
อัปเปวะนามิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะกิริยา ปัญญาเยถาติ
ทำไฉน การทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้จะพึงปรากฏชัดแก่เราได้
หลายๆ ภาพที่ผุดขึ้นมาในความคิดค่อยๆ จางหายไปกับเสียงของเหล่าอุบาสก – อุบาสิกาที่ทำวัตรเย็นเสร็จ พร้อมกับคำถามที่ไม่เคยเลยสักครั้งจะฉุกคิดถามตัวเองว่า
“ทำไมฉันไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า พุทธศาสนาเตือนอะไรเราไว้แล้วและสอนอะไรเราบ้าง”
เป็นครั้งแรกที่ฉันรู้สึกว่า ตัวเองช่างเขลาเสียจริงๆ มัวแต่มองข้ามเรื่องธรรมดาใกล้ๆ ตัวไปศึกษาเรื่องนั้น เรียนรู้สิ่งนี้มามากมาย แต่ไม่เห็นจะช่วยอะไรได้สักอย่าง ในยามที่ความทุกข์มาเยือน ฉันควรจะใส่ใจและเริ่มศึกษาอย่างจริงจังว่า ที่จริงแล้ว พระพุทธองค์ทรงต้องการจะสอนอะไรกับเรา และท่านแนะวิธีไว้อย่างไร ตั้งแต่วันนี้และตอนนี้
ในเช้าวันสุดท้ายของการมาที่วัดแห่งนี้ หลังจากกล่าวลาสิกขาและลาพระสงฆ์กลับบ้านแล้ว ฉันรู้สึกได้ว่า ความทุกข์ใจเนื่องมาจากการพลัดพรากจากบุคคลอันเป็นที่รักที่เกาะกินใจมานานนับปีได้ถูกกะเทาะออกแล้วหลังพิจารณาตามบทสวดมนต์บทนั้น
การมาวัดเพื่อฝึกปฏิบัติแบบนี้จะไม่ใช่เพียงครั้งเดียวหรือครั้งสุดท้าย
ตราบใดที่ฉันยังไม่เข้าใจและไม่สามารถปฏิบัติตามคำสั่งสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได ้ ตราบนั้นฉันก็ยังไม่เสร็จกิจที่พึงกระทำในการเกิดมาครั้งนี้
อ้างอิง : บทสวดมนต์ สังเวคปริกิตตนปาฐะ
ที่มา นิตยสาร Secret
เรื่อง ฐิตตา