ชีวิตหลังแต่งงาน

ความทุกข์ที่มาพร้อมกับ ชีวิตหลังแต่งงาน

ความทุกข์ที่มาพร้อมกับ ชีวิตหลังแต่งงาน

บางคนเชื่อว่า ชีวิตหลังแต่งงาน คงจะมีความสุขมาก เหมือนกับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ปัญหาที่เคยมีในชีวิตจะต้องหมดไปอย่างแน่นอน หากแต่งงานไปด้วยความคิดเพ้อฝันเช่นนั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงที่จะต้องประสบความล้มเหลวในชีวิตการแต่งงาน ยิ่งเป็นคนที่ไม่มีความสุขและไม่พอใจกับชีวิตที่ผ่านมาเท่าไร ก็จะยิ่งคาดหวังกับการแต่งงานมากเท่านั้น

แต่ความจริงไม่หอมหวานเช่นนั้น

ลองมาดูกันว่า ปัญหาชีวิตหลังแต่งงาน ที่หลายคนต้องเจอมีอะไรบ้าง

 

 

เขาไม่ใจดีเหมือนตอนที่เพิ่งเจอกัน

ทางแก้ น่าเสียดายว่า ในตัวมนุษย์นั้นมีกิเลสที่เป็น “ความเบื่อ” อยู่ ซึ่งมีข้อเสียคือ เมื่อคบหากันนานไป ก็จะเริ่มเบื่อและใส่ใจกันน้อยลง ดังนั้นเมื่ออีกฝ่ายมีกิเลสที่เป็นความเบื่ออยู่มาก ความใจดีที่มีให้จึงค่อยๆ ลดน้อยลง จึงถือเป็นเรื่องธรรมดา

ส่วนฝ่ายหญิงเองก็ถูกกิเลสเข้าครอบงำเช่นกันจึงปฏิบัติกับเขาเหมือนตอนที่เพิ่งเจอกันไม่ได้

ปัญหาคือ ความเบื่อของทั้งสองคนมีปริมาณไม่เท่ากัน หากฝ่ายชายมีความเบื่อมากกว่า ความใส่ใจของฝ่ายชายก็จะลดลงเร็วกว่า

ลหากเราทำสีหน้าไม่พอใจ ใจที่เป็นแง่ลบนั้นก็จะทำลายเสน่ห์ในตัวเราไปเสีย และอาจทำให้เราลุกขึ้นมาเรียกร้องอย่างไม่สมเหตุสมผลว่า “ถึงฉันจะทำตัวไม่เหมือนกับตอนที่เพิ่งเจอกัน แต่เธอควรจะใจดีกับฉันเหมือนตอนนั้นสิ”

ฝ่ายชายเองก็ไม่ได้รู้สึกดีต่อฝ่ายหญิงที่มีความรู้สึกแง่ลบเช่นนั้น กิเลสที่เป็นโทสะจึงเกิดขึ้นในใจของฝ่ายชาย และส่งผลให้ทำใจดีกับฝ่ายหญิงไม่ได้ยิ่งกว่าเดิม เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว การที่ฝ่ายชายไม่ใจดีด้วย จึงไม่ใช่ความผิดของกิเลสที่เป็นความเบื่อของเขาแต่เพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งที่ทำให้เขาเบื่อคือ กิเลสของฝ่ายหญิงที่ไปกระตุ้นกิเลสของเขา จนทำให้ฝ่ายชายใจดีด้วยน้อยลง

ความคิดที่ว่า “ถ้าไม่ใจดีด้วย ฉันไม่ยอมนะ” เอง ก็ไม่ใช่ความใจดีเช่นกัน ดังนั้นจึงขอแนะนำให้ฝ่ายหญิงใจดีให้มากขึ้นเพื่อไม่ให้ความใจดีของเราเองสูญหายไป

 

ส่งข้อความหาเขา แต่เขาไม่ค่อยตอบเลย

ทางแก้ ลองถามใจตัวเองดูว่าทำไมถึงรู้สึกไม่พอใจที่ไม่มีข้อความตอบกลับมา เมื่อลองทำดูแล้ว จะเห็นว่าความคิดต่อไปนี้ผุดขึ้นมาในใจใช่หรือไม่

“เธอควรตอบข้อความทันที และทำให้ฉันรู้สึกว่า ‘ฉันได้รับความรัก’ ต่อไปอีกสิ”

นั่นเป็นความต้องการที่ตอบสนองให้ไม่ได้ ถ้าไม่ใช่ผู้ชายประเภทที่พิเศษจริงๆ อันที่จริงแล้วฝ่ายหญิงไม่ได้รักฝ่ายชาย แต่รักภาพของตัวเองที่อยู่ในสมองต่างหาก

ขอให้ระวัง เพราะนี่อาจเป็นเพียงการที่เรารักแต่ “ตัวเรา ตัวเราที่เขารักมากถึงขนาดนี้” โดยที่ไม่ได้นึกถึงเขาเลย

ขอให้ลองคิดเกี่ยวกับการส่งข้อความดูว่า ในโลกที่มีผู้คนอยู่หลากหลายใบนี้ คงมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่ค่อยส่งข้อความ และเขาก็อาจเป็นคนที่ไม่ได้มีนิสัยชอบส่งข้อความถึงขนาดนั้นก็ได้

ช่างเป็นเรื่องที่เป็นเหมือนกลอุบายที่ทำให้ช่วงที่เพิ่งรู้จักกันนั้น ความรู้สึกจะโลดแล่น การคุยกันผ่านตัวหนังสือจึงเป็นเรื่องสนุกสนาน ส่งผลให้เขามีความพยายามมากกว่าปกติ ทั้งที่ปกติเขาอาจแทบไม่ได้ส่งข้อความเลยก็ได้ แต่กลับพิมพ์ข้อความในโทรศัพท์ออกมาเป็นประโยครักขนาดยาวที่น่าอาย

แต่นั่นเป็นเพียงในช่วงแรกเท่านั้น เพราะหากในช่วงแรกเขาขยันมากเกินไป ต่อมาความพยายามที่เขาสร้างขึ้นก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ และกลับไปเป็นคนขี้เกียจส่งข้อความเหมือนเดิม แต่นั่นต่างหากที่เป็นตัวเขา การยอมรับเรื่องนี้แล้วทำลายเมฆหมอก ความคิดว่าตัวเองดีเกินจริง ออกไปเสีย จึงจะเป็นความรักที่แท้จริง

 

 

กลัวว่าจะโดนเกลียด ถ้าไม่ปรับตัวให้เข้ากับคนรักทุกอย่าง

ทางแก้ มีทั้งหมด 2 ประเด็น ดังนี้

  1. 1. ยิ่งเป็นคนที่ไม่มั่นใจในเสน่ห์ของตนเองมากเท่าไร ก็ยิ่งเชื่อว่าการปรับตัวให้เข้ากับคนรักจะทำให้ได้รับความรักมากขึ้น

แต่หากเราปรับตัวให้เข้ากับคนรักไปเสียหมดทุกอย่าง อาจทำให้ฝ่ายหญิงกลับกลายเป็น “คนง่ายๆ แต่น่าเบื่อ” ไปก็ได้

และอีกฝ่ายอาจติดต่อมาเฉพาะตอนที่ว่างหรือเหงา หรือคิดว่าจะทำอย่างไรกับเราก็ได้

เพื่อไม่ให้เจอกับเหตุการณ์เช่นนี้ เราต้องไม่ปรับตัวให้เข้ากับอีกฝ่ายไปเสียทุกอย่าง เพราะสิ่งที่สำคัญคือ การปรับตัวให้เหมาะสมกับเวลาและสถานการณ์ต่างหาก

  1. 2. การปรับตัวเข้ากับอีกฝ่ายอาจเป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ก็เป็นได้

เหตุที่กล่าวเช่นนี้เพราะการปรับตัวนั้นอาจทำให้เราได้ดูภาพยนตร์ที่ไม่เคยคิดจะดู เล่นกีฬาที่ไม่เคยคิดจะเล่น ฟังเพลงที่ปกติไม่เลือกฟัง ไปร้านอาหารที่ไม่เคยคิดจะไป หรือกินอาหารที่ไม่เคยคิดจะกินมาก่อน เป็นต้น ซึ่งเป็นการทำลายกรอบเดิม ๆ ของตนเองและก้าวออกไปสู่โลกที่กว้างขึ้น

 

เมื่ออยู่กับคนรักแล้วรู้สึกว่า ต่างฝ่ายต่างไม่พัฒนาตัวเอง

ทางแก้ หากรู้สึกว่าคบกันไปก็มีแต่ผลเสียต่อกัน ก็ขอให้ตัดสินใจเลิกกันเพื่อทั้งคู่

ปัญหาคือ เราจะคิดเรื่องดีงาม หรือโครงการสวยหรู ที่เป็น “การพัฒนาตัวเองไปด้วยกัน” จากการที่คบกันไปก็มีแต่แย่ อย่างจริงจังออกมาจากใจจริงได้หรือไม่

หากเราคิดเช่นนั้นจริง แม้เราเห็นอีกฝ่ายไม่มีอารมณ์จะทำอะไร เล่นไปเรื่อยเปื่อย เราก็ยังคงตั้งใจอย่างเต็มที่และคิดว่า “เราต้องทำให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก”

หากเราไม่ทำเช่นนั้น และปัดความรับผิดชอบไปที่อีกฝ่ายว่า “เหตุที่เราพัฒนาตัวเองไม่ได้ก็เป็นเพราะได้รับผลกระทบจากเขานี่แหละ” แทนที่จะคิดหาวิธีแก้ไขสิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเป็นรูปธรรม แต่กลับกังวลว่า “รู้สึกว่าเราทั้งคู่ต่างส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อกัน” ซึ่งนั่นเป็นเพียงความไม่พยายามเท่านั้น

ขอให้เราทำความรู้สึกให้สดชื่น ถึงขนาดที่จะให้คนรักของเรารู้สึกถึงผลดีของการพัฒนาตัวเองได้ด้วยตัวคนเดียว แล้วสวมวิญญาณเป็นครูสอนพิเศษตามบ้าน ชี้แบบอย่างที่ดีให้กับคนรัก ก็อาจสนุกก็ได้นะ

 

 

รู้สึกคาใจกับเรื่องแฟนเก่าของเขามาก

ทางแก้ ความรับผิดชอบตกอยู่ที่เขาจริง

การที่เขายังเก็บรักษาข้อความหรือจดหมายที่ได้จากแฟนเก่าไว้อย่างดี หรือการพูดว่า “ถ้าเป็นแฟนเก่าเราจะต้องทำแบบนี้ให้แน่เลย…” เป็นต้น จะส่งผลเสียอย่างมากต่อความสัมพันธ์ของทั้งสองในภายหลัง

แต่ใช่ว่าเมื่อได้รับข้อมูลเช่นนั้นแล้ว เราจะต้องถูกกระตุ้นได้ง่าย ๆ ด้วย “ภาพของตัวเอง ซึ่งก็คือกิเลสที่เป็นมานะ” ที่เอาแต่คิดว่า “ถ้าเทียบกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ฉันคง…” เพราะสิ่งที่เราทำได้นอกจากนี้คือการวางเฉย

แต่การที่เราวางเฉยไม่ได้ ก็ไม่ได้เป็นเพราะเขา แต่เป็นเพราะพลังงานกิเลสที่เป็นโทสะซึ่งสะสมอยู่ในจิตใต้สำนึกของเรานั้น พวยพุ่งออกมาในรูปแบบของความอิจฉา ดังนั้นจึงขอเชิญให้มาทำความสะอาดตัวเราที่น่าเกลียดซึ่งแปดเปื้อนด้วยพิษความอิจฉา

 

ไม่รู้ว่าเขารักเราจริงหรือเปล่า

ทางแก้ เรื่องนั้นจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิด แต่สิ่งที่สำคัญคือ หากฝ่ายชาย ไม่ได้รักฝ่ายหญิงมากนัก แล้วฝ่ายหญิงจะยังรักเขาต่อไปหรือไม่

สาเหตุที่เราทุกข์ใจด้วยเรื่องเช่นนี้ เพราะเหมือนกับเรากำลังสารภาพ ว่า “ฉันจะรักเขาเฉพาะในกรณีที่เขารักฉันจริงๆ เท่านั้น” นั่นหมายความว่า เราไม่ได้รักเขา แต่กลับรักตัวเองมากนั่นเอง

เรียกได้ว่าเป็นการทำให้ตัวเองพอใจ มากกว่าจะเรียกว่าความรัก… และคงจะเป็นเรื่องราวความรักที่น่าเกลียด เมื่อเราคิดว่าเราจุมพิตกับ อีกฝ่าย แต่พอดูให้ดีแล้ว เขาคนนั้นกลับเป็น “ตัวเรา” เอง แต่เมื่อเรา ทำลายคำสาป “ความคิดว่าตัวเองดีเกินจริงหรือตัวมานะ” ได้ ความรัก ที่แท้จริงจึงจะเริ่มต้นขึ้น

และอย่างน้อย การที่ ฝ่ายชายยังคบหากับฝ่ายหญิง อยู่ แม้ไม่รักมาก ก็น่าจะมี ความรักให้อยู่บ้างไม่มากก็น้อย และนั่นก็เพียงพอแล้ว ดังนั้น แทนที่เราจะคิดเรื่องที่ไม่สมควร คิด สงสัยอย่างไร้ความหมาย ขอให้พยายามผละตัวเราออก จากความคิดว่าตัวเองดีเกินจริง และหันมาให้ความรักกับอีกฝ่ายดีกว่า ซึ่งนั่นอาจทำให้ทั้งคู่รักกันมากขึ้น

 

ข้อมูลจากหนังสือ ไม่อกหักทั้งชีวิตพระริวโนะสุเกะ โคะอิเกะ เขียน

สั่งซื้อออนไลน์ คลิก


บทความน่าสนใจ

Dhamma Daily : พระพุทธศาสนากับความรัก เกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

รักแท้เป็นแบบไหน ? ความรักในมุมมองของพระพุทธศาสนา

ทำไมครั้งหนึ่งในชีวิต เราควรมอบความรักให้ใครสักคนและควรได้รับความรักจากใครสักคน

มุมมองความรักในทางพุทธ ที่จะทำให้เจอรักแท้ โดย พศิน อินทรวงค์

เหตุผลที่ พ่อ แม่ ไม่ควรสแกนคนรักของลูก อย่าใช้ความรักทำร้ายคนที่ตนรัก

© COPYRIGHT 2024 AME IMAGINATIVE COMPANY LIMITED.