เวลาที่ต้องทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ เวลาเจอะเจอปัญหา ชีวิตสะดุด หลายคนมักจะบ่นว่า ทำไมชีวิตมันยากจัง เหนื่อย หนัก น่าเบื่อ ไม่ไหวแล้ว ฯลฯ เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี
ทว่าสำหรับผู้ชายคนนี้ เต๋อ ฉันทวิชช์ ธนะเสวี หนุ่มมาดทะเล้นที่พกความสามารถทางภาพยนตร์มารอบตัว ทั้งการเขียนบทภาพยนตร์ ฝีมือการแสดงที่ลื่นไหลเป็นธรรมชาติ ชีวิตที่ผ่านมาของเขาแทบจะไม่เคยหยิบยกคำเหล่านี้ขึ้นมาใช้เลย นั่นเป็นเพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำ ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบ เขาคนนี้จะใช้คำว่า “สนุก” นำหน้าไว้ก่อนเสมอ สนุกกับการเรียน สนุกกับการทำงาน หรือแม้แต่ถ้ามี “ปัญหา” เข้ามา เขาคนนี้ก็จะพยายามเปลี่ยนมันให้กลายเป็นเรื่องสนุกได้เหมือนกัน…สนุกกับการแก้ปัญหา
เมื่อไรที่ใช้ชีวิตอย่างสนุก ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องกดดัน…ความสุขก็จะตามมาเอง
แรงบันดาลใจจากขอบสนาม
แรกเริ่มทีเดียวผมรู้จัก เรจจี้ มิลเลอร์ (Reggie Miller) ในฐานะสุดยอดนักบาสเอ็นบีเอที่ยิงได้แม่นสุดๆ ยิ่งพอได้รู้ประวัติของมิลเลอร์เข้า ผมก็ยิ่งทึ่งมากขึ้น เพราะเขาเคยเป็นโปลิโอมาก่อน!
ถึงจะเดินไม่ค่อยถนัดเพราะต้องใส่เหล็กช่วยดามขา แต่มิลเลอร์ก็ฝันอยากจะเป็นนักบาสเอ็นบีเอให้ได้ พอเพื่อนๆ รู้เข้า ก็พากันพูดกันว่า “เป็นไปไม่ได้” แต่มิลเลอร์ก็ไม่สน เขาเริ่มฝึกเดินจนคล่อง พอคล่องแล้วก็เริ่มวิ่ง คราวนี้ก็ไม่ต้องใส่เหล็กอีกต่อไป พอถึงเวลาซ้อมบาส มิลเลอร์ก็ตั้งกฎให้ตัวเองอีกว่า “จะทำอะไรต้องทำให้มากกว่าคนอื่นอย่างน้อยสองเท่า เพราะเรามีไม่เท่าคนอื่น”
ด้วยความตั้งใจ ในที่สุดมิลเลอร์ก็ทำได้สำเร็จจริงๆ แถมยังกลายเป็นดาวดังของทีมอีกด้วย นี่แหละครับที่ทำให้ผมเข้าใจประโยคที่ว่า “โลกนี้ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้” รวมทั้งยังได้ใช้เป็นแรงบันดาลใจให้ตัวเองเสมอมา
อย่างเรื่องแรกๆ ที่จำได้แม่นก็ต้องสมัยเรียนมัธยม ผมเป็นเด็กที่ไม่เคยแต่งกลอนมาก่อนเลย แต่อยู่ดีๆ วันหนึ่งก็เกิดอยากลองแต่งกลอนกับเขาดูบ้าง แต่งเสร็จก็ส่งประกวดในระดับโรงเรียนก่อน แล้วก็บังเอิญได้รางวัลชนะเลิศกลับมาด้วย
พอโตขึ้นมาหน่อย ผมเกิดไปแอบชอบผู้หญิงคนหนึ่งเข้า เรื่องนี้มันยิ่งดูเป็นไปไม่ได้เลย เพราะตอนนั้นผมเป็นแค่ทีมงาน ตัวเล็กๆ ในกองถ่าย แต่เธอเป็นถึงระดับนางเอก ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ท้อนะ พยายามทำทุกอย่างเพื่อเอาชนะใจเธอให้ได้ ในที่สุดเราก็ได้รู้จักกันและอยู่เคียงข้างกัน (ในช่วงเเวลานั้น)
เชื่อเถอะครับว่า “ในโลกนี้ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้ ถ้าเรามีความตั้งใจและพยายาม”
Braveheart จุดไฟฝันให้ลุกโชน
ผมเป็นพวกใช้ชีวิตไปตามกระแสครับ ใครให้ทำอะไรก็ทำ โดยที่ไม่รู้ตัวว่าตัวเองชอบอะไร หรืออยากเป็นอะไร รู้แค่ว่า ผมอยากรู้เรื่องราวของชาวบ้านชาวช่องไปหมด ซึ่งทางเดียวที่จะทำได้โดยไม่ผิด ก็คือ “การดูหนัง” ผมจึงชอบดูหนังมาตั้งแต่เด็กๆ
วันหนึ่งผมตั้งใจไปหาหนังแอ๊คชั่นมันๆ ดู ก็เลยได้ดูเรื่อง Braveheart แทนที่จะสนุกไปกับฉากแอ๊คชั่น หนังเรื่องนี้กลับทำให้ผมเดินร้องไห้ออกมาแทน! (เป็นเรื่องแรกที่ดูแล้วร้องไห้)
ผมเลยมานั่งคิดดูว่า “อะไรทำให้ผมร้องไห้” คำตอบก็คือ “ทุกสิ่งที่หนังทำและสื่อออกมาครับ มันลงตัว กลมกลืน และกระแทกใจผมไปหมด”
ตั้งแต่นั้นผมก็รู้สึกว่า “อยากเป็นคนทำหนังบ้าง” ผมจึงเริ่มหาข้อมูลว่ามีที่ไหนเปิดสอนด้านภาพยนตร์ ก่อนจะตัดสินใจสอบเข้าคณะนิเทศฯ จุฬาฯ…เปลี่ยนชีวิต เด็กวิทย์ๆ ไปเลย พอได้เรียน ผมก็ยิ่งมั่นใจว่า “นี่คือตัวตนของผมจริงๆ”
ทุกวันนี้ผมยังคิดอยู่เลยว่า ถ้าเราไม่กล้าเปลี่ยน ไม่กล้าถามใจตัวเอง ป่านนี้ผมอาจจะเป็นคนหนึ่งที่กำลังทนทำงานที่ไม่ชอบอยู่ก็ได้
หาตัวเองให้เจอ ทำในสิ่งที่รัก ใช้ชีวิตให้สนุก แค่นี้ความสุขก็อยู่ตรงหน้าแล้วครับ
บทเรียนจากทุเรียนเน่า
ถึงแม้ว่าความฝันสูงสุดของผมคือการได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์ แต่เมื่อได้รับโอกาสให้เป็นนักแสดงควบคู่กับการเขียนบท (ก่อน) ผมก็ยินดี เพื่อจะได้เก็บเกี่ยวข้อมูลการแสดงและการทำงานในกองถ่าย ฯลฯ ไปในตัว
ก่อนหน้านั้นชีวิตผมก็ราบรื่นดี มาสะดุดเพราะภาพยนตร์เรื่องที่สองที่ผมเล่นนี่แหละ เรื่องนี้ผมถูกโหวตให้ได้รับ “รางวัลทุเรียนเน่าสาขานักแสดงนำชายยอดแย่” ครับ ถึงจะเป็นแค่รางวัลล้อเลียนขำๆ ที่จัดขึ้นในเว็บไซต์หนึ่ง แต่นั่นก็หมายความว่า “ตลอดปีนั้นผมเป็นดารานำชายที่แสดงได้ห่วยที่สุด”
ตอนนั้นเครียดครับ เพราะผมมั่นใจว่าผมทำดีที่สุดแล้ว แต่ในเมื่อทำตรงนี้แล้วไม่ดี ผมก็ยอมกลับไปเขียนบทอย่างเดียว ตอนนั้นคุณพ่อ คุณแม่ และพี่ๆ ในบริษัทให้กำลังใจผมกันใหญ่ โดยเฉพาะ พี่โต้ง ผู้กำกับภาพยนตร์ที่เหมือนจะรู้ว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่ พี่โต้งเข้ามาบอกผมว่า
“ถ้าวันนี้เต๋อเลิกเล่นหนัง กลับไปเขียนบทอย่างเดียว คนก็จะจำแค่ว่า เต๋อเป็นนักแสดงแย่ๆ ที่ได้รางวัลทุเรียนเน่า เลยท้อแล้วก็เลิกเล่นไป เต๋ออยากให้คนจำแบบนั้นเหรอ”
พี่โต้งเลยชวนผมมาเขียนบทเรื่องกวน มึน โฮ และให้โอกาสผมได้เล่นหนังอีกครั้งเพื่อจะ “กู้ชื่อ” ผมกลับมาให้ได้
พอรู้อย่างนี้ผมจึงตัดสินใจกลับมาสู้อีกครั้ง พร้อมกับตั้งใจว่าต้องไปเรียนการแสดงเพิ่มอย่างจริงจัง ในที่สุด หนังเรื่องนี้ก็กู้ชื่อผมกลับมาได้จริงๆ เพราะนอกจากจะทำรายได้ทะลุร้อยล้านแล้ว ผมยังได้รับรางวัลดาวรุ่งชายแห่งเอเชียในปีนั้นด้วย…เชื่อไหมครับว่า เหตุการณ์ที่พลิกผันทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในปีเดียว!
ใครก็ตามที่กำลังจะแพ้ ขอให้ “แพ้แบบนักสู้” คือสู้ให้ถึงที่สุดก่อน ไม่ใช่ว่าแพ้เพราะใจไม่สู้เอง
Secret Box
ทำทุกวันให้ดีที่สุด ทำให้เหมือนกับเป็นวันสุดท้ายของชีวิต
ที่มา นิตยสาร Secret ฉบับที่ 96
เรื่อง วรลักษณ์ ผ่องสุขสวัสดิ์
ภาพ ฝ่ายภาพ อมรินทร์พริ้นติ้งฯ
บทความน่าสนใจ
อุ้ม สิริยากร พุกกะเวส “วันนี้ฉันคือ ผู้ปรารถนานิพพาน”
ทิ้ง! บทความดี ๆ ให้แง่คิดชีวิตคู่ โดย ไก่ – มีสุข แจ้งมีสุข